สตูล –- ชาวเลอูรักลาโว้ย จ.สตูล ขึ้นฝั่งร้องทุกข์ผ่านเลขานุการสำนักนายกรัฐมนตรี วอนแก้ปัญหาเร่งด่วนหลังถูกนายทุนปิดกั้นทางเข้าออกสาธารณะ กรณีข้อพิพาทที่ดินหาดปากบารา ด้านที่ดินจังหวัดสตูลชี้ทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
วันนี้ (29 พ.ย.) ที่หน้าห้องประชุมที่ว่าการอำเภอละงู จ.สตูล ตัวแทนชาวเลอูรักลาโว้ย เกาะหลีเป๊ะ ต.เกาะสาหร่าย อ.เมือง จ.สตูล จำนวนร่วม 10 คน เดินทางมายื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อ นายธัชชญาณ์ณัช เจียรธนัทกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เพื่อผ่านไปยังนายกรัฐมนตรี ขณะทางคณะลงพื้นที่ตรวจหาข้อเท็จจริงกรณีข้อพิพาทที่ดินหาดปากบารา หมู่ที่ 6 บ้านท่ามาลัย ต.ปากน้ำ อ.ละงู จ.สตูล
โดย นางสุคน พะอ๊ะ ชาวเลอูรักลาโว้ย และ นางละออง หาญทะเล อายุ 53 ปี เปิดเผยว่า ชาวบ้านเดือดร้อนมากเพราะนายทุนปิดกั้นเส้นทางเข้าออก เด็กไม่ได้ไปโรงเรียน เดินทางไปหาหมอที่โรงพยาบาลบนเกาะก็ไม่ได้ การขนส่งสินค้าจากเรือประมงไปยังหมู่บ้านเป็นไปด้วยความยากลำบาก จึงอยากให้ทางการและทางเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะช่วยแก้ปัญหานี้เป็นกรณีเร่งด่วน
นายธัชชญาณ์ณัช เจียรธนัทกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้รับเรื่องทางพี่น้องชาวเลแล้ว จะเร่งตรวจดูข้อมูลและรับเรื่องโดยตรงในการประสานงาน พร้อมให้ทางจังหวัดสตูลชี้แจ้งรายละเอียดทันที เพื่อนำกลับไปพิจารณาหาทางออกต่อไป
สำหรับปัญหาการปิดกั้นเส้นทางสัญจรสาธารณประโยชน์ชุมชนชาวเกาะหลีเป๊ะ มีผลกระทบความเดือดร้อนอย่างรุนแรง โดยชาวเลอ้างว่า เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 เอกชนรายนี้ได้ให้ลูกน้องมาปิดกั้นเส้นทางสัญจร ซึ่งเป็นเส้นทางดั้งเดิมตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ.2452 เป็นต้นมา ซึ่งปัจจุบันชาวเลใช้เป็นเส้นทางสัญจรในการให้นักเรียนเดินเข้าโรงเรียน ทางสัญจรเข้าโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชนเกาะหลีเป๊ะ ทางเข้าสุสานชุมชนชาวเล ทางสัญจรไปร่วมงานพิธีกรรมลอยเรือ ทางสัญจรไปทำประมงเพื่อเลี้ยงชีพ รวมทั้งเป็นทางเดินของนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวบนเกาะหลีเป๊ะ ทำให้นักเรียน ชุมชน และนักนักท่องเที่ยวได้รับผลกระทบกว่า 1,000 คน
จากนั้น นายธัชชญาณ์ณัช เจียรธนัทกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ได้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นข้อเท็จจริงกับหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง กรณีข้อพิพาทที่ดินหาดปากบารา หมู่ที่ 6 บ้านท่ามาลัย ต.ปากน้ำ อ.ละงู จ.สตูล โดยเชิญผู้ร้องและผู้ถูกร้องมาให้ข้อมูล
โดยผู้ถูกร้อง 5 ราย และชาวบ้านที่รู้เห็นพื้นที่ข้างเคียงยังคงยืนยันว่า เป็นที่ดินมรดกตกทอด และมีเอกสารสิทธิโดยถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมได้นำเอกสารมายืนยันทั้งพยานบุคคลและภาพถ่าย พร้อมกันนี้ ยืนยันว่าพวกตนยังคงสงวนสิทธิในการครอบครองที่ดิน โดยมีการขึ้นป้ายและปลูกต้นไม้เพื่อแสดงแนวเขตว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของตน เมื่อได้รับการทักท้วงว่าไม่เหมาะสมกับการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ริมชายหาดก็ได้ถอนออกพร้อมยืนยันว่า ไม่ได้ปล่อยให้พื้นที่ว่างเปล่า
นายคณิศร สราญฤทธิ์ หนึ่งในผู้ครอบครองที่ดินที่มีข้อพิพาทยืนยันว่า เอกสารที่ได้มาไม่ว่าจะเป็น น.ส.3 และเปลี่ยนมาเป็น น.ส3 ก.ได้มาโดยถูกต้องตามกฎหมายตามกระบวนการทุกขั้นตอน และมีการแสดงกรรมสิทธิ์บนที่ดินของตัวเองมาโดยตลอด
ขณะที่ทางด้านผู้ร้อง นายวิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี กลุ่มพีมูฟจังหวัดสตูล ได้ตั้งข้อสังเกตการออกเอกสารสิทธิว่า เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ออกให้มาโดยชอบธรรมหรือไม่ การไม่ใช้ประโยชน์มานาน (เนื่องจากกลุ่มของตนได้ใช้พื้นที่ดังกล่าวทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ตลอดมา) อีกทั้งเป็นพื้นที่น้ำท่วมถึงริมชายหาด ซึ่งเป็นการตั้งข้อสังเกตที่อยากให้ภาครัฐหาคำตอบให้
หลังใช้ระยะเวลาในการประชุมหารหรือร่วม 3 ชั่วโมง นายธัชชญาณ์ณัช เจียรธนัทกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังการรับฟังข้อมูลทั้งสองด้านในวันนี้เพื่อไปประมวลและพิจารณา เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ อยากให้พี่น้องในพื้นที่รักและสามัคคีกัน
ด้าน นายพชร สายชู เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสตูล สาขาละงู ยังคงยืนยันว่า ไม่ใช่เป็นการออกเอกสารสิทธิใหม่ เป็นเพียงการเปลี่ยนจาก น.ส 3 ครุฑดำ เป็นครุฑเขียว หรือ น.ส3 ก. ฉะนั้นกระบวนการตามที่สื่อได้ออกไปบอกว่าที่ดินอำเภอละงูออกเอกสารทับที่ดินสาธารณะนั้นไม่ใช่ เพราะเอกสารสิทธิเขามีมาตั้งแต่เดิมแล้ว เมื่อเอกสารสิทธิมีการออกไปแล้วคงไม่มีการทบทวนใหม่แล้ว นอกจากจะมีทางอำเภอและส่วนที่เกี่ยวข้องตั้งเรื่องขึ้นมาว่าที่ดินบริเวณนี้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงจะมีการตั้งเรื่องเพิกถอนได้
“ขณะนี้ถือว่ากรรมสิทธิ์ตกเป็นของที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน การทำงานของเจ้าพนักงานที่ดินยังคงยืนยันว่าไม่ได้อำนวยความสะดวกให้ผู้ใดผู้หนึ่ง จะยึดระเบียบของกฎหมายเป็นหลัก เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายทุกอย่าง ปฏิบัติเท่าเทียมเสมอกัน” เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสตูล สาขาละงู กล่าว