xs
xsm
sm
md
lg

ถ้าคนใต้เห็นดีเห็นงามกับ "รัฐบาลครึ่งเทอม" ย่อมเป็นวิบากกรรมของ "ประชาธิปัตย์" ในสนามการเลือกตั้งปี 2566

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



โดย.. เมือง ไม้ขม

นับเป็นวิบากกรรมของ "พรรคประชาธิปัตย์" ที่มาก่อนการเลือกตั้งในปี 2566 อย่างแท้จริง กับกรณีของการลาออกของสมาชิกพรรค ของ ส.ส.และอดีต ส.ส. เพื่อไปร่วมงานการเมืองกับพรรคการเมืองอื่นๆ ซึ่งพรรคการเมือง ที่กลายเป็นหนามยอกอกของพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะนี้ไม่ใช่พรรคภูมิใจไทยหรือพรรคพลังประชารัฐ หากแต่เป็นพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งมีหัวหน้าพรรคเป็น “อดีต” คนของพรรคประชาธิปัตย์อย่าง "พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค" ซึ่งลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ไปเป็นกำลังสำคัญของรัฐบาล "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และเป็นผู้ตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อทำหน้าที่เป็น นั่งร้าน ในการส่ง "ลุงตู่" ขึ้นสู่นายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ 3 ในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะมาถึงในปี 2566

และนักการเมืองที่พรรครวมไทยสร้างชาติพยายาม กวาดต้อน ให้เข้าสังกัดพรรคเพื่อลงสมัคร ส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ส่วนใหญ่เป็น ส.ส.และอดีต ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่ภาคใต้ และที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสียอาการมากที่สุด น่าจะเป็นการที่ ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค เพื่อไปเป็นที่ปรึกษาของ "ลุงตู่" และเชื่อว่าจะเข้าสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ หลังจากก่อนหน้านี้ได้ส่งบุตรสาวไปเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติก่อนแล้ว ส่วนจะมีการสมัคร ส.ส.เขตไหนยังไม่มีการเคาะให้เห็น

เรื่องที่เกิดขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ คล้ายกับการเลือกตั้งในสมัยที่แล้วที่ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ และใช้พลังดูด ส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์สายใต้ เพื่อไปสมัคร ส.ส.แข่งกับพรรคประชาธิปัตย์ จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้จำนวน ส.ส.ที่ได้รับการเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์เหลือเพียง 22 คน และพรรคใหม่ของ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" ก็ไม่ประสยความสำเร็จ สอบตกเป็นส่วนใหญ่ เพราะแย่งคะแนนกันเอง เนื่องจากผู้สมัครมีฐานคะแนนเดียวกัน

แต่การเกิดขึ้นของ "รวมไทยสร้างชาติ" ไม่เหมือนกับปรากฏการณ์ของ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" เพราะรวมไทยสร้างชาติมีระบบของการดึงดูด ส.ส.และอดีต ส.ส.ในภาคใต้ที่เป็นระบบ มีการกวาดต้อนผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์มาอย่างยาวนาน ที่เรียกว่าบ้านใหญ่อย่างตระกูล "จุลใส" ใน จ.ชุมพร ตระกูล "จ่าแก้ว" ใน จ.สุราษฎร์ธานี และตระกูล "ธรรมเพชร" ใน จ.พัทลุง และยังมีอดีต ส.ส.ที่เรียกว่ารุ่นใหญ่อีกจำนวนหนึ่ง ทั้งใน จ.นครศรีธรรมราช จ.ตรัง และอื่นๆ ที่ออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเสริมทัพให้แก่รวมไทยสร้างชาติในครั้งนี้ ที่สำคัญมีกลุ่มทุนของประเทศเป็นผู้ให้การสนับสนุน เพื่อให้ "บิ๊กตู่" กลับมาอีกครั้ง

ที่สำคัญ มีข่าวว่ายังจะมี ส.ส.และอดีต ส.ส. รวมทั้งอาจจะมีสมาชิกรุ่นใหญ่แบบเดียวกับ "ดร.ไตรรงค์" ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อไปอยู่กับรวมไทยสร้างชาติอีกระลอกหนึ่ง หลังจากมีการยุบสภา หรือก่อนหมดวาระของรัฐบาล

ประเด็นนี้เชื่อว่า ทั้ง "จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" หัวหน้าพรรค "เฉลิมชัย ศรีอ่อน" เลขาธิการพรรค "นิพนธ์ บุญญามณี" รองหัวหน้าพรรคและผู้อำนวยการเลือกตั้ง รวมทั้ง "เดชอิศม์ ขาวทอง" รองหัวหน้าพรรคที่ดูแลภาคใต้ และ "แทน เดชเดโช" รองเลขาธิการพรรคต้องคิดหนักในการแก้เกมและการสรรหาผู้สมัครมาแทน ส.ส. ที่มีการย้ายพรรคในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม การเกิดขึ้นของรวมไทยสร้างชาติ ทางหนึ่งเป็นการ "ฆ่า" ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐในภาคใต้ให้หมดที่ยืนในการเลือกตั้งครั้งใหม่ เพราะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐที่ได้รับการเลือกเข้ามาทั้งหมด 14 คน ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วได้รับการเลือกจากประชาชนเพราะบารมีของ "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และบวกกับ 5 ปี ที่ "ลุงตู่" เป็นนายรัฐมนตรีจากการยึดอำนาจจากรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่ขาดการดูดำดีดูประชาชนในเขตเลือกตั้งของตน เพราะเชื่อว่า เลือกตั้งใหม่คนใต้ก็ยังไม่ทิ้งประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นการคิดผิด จนเป็นเหตุให้เกิดโศกนาฏกรรม ส่งผลให้เสาไฟฟ้าล้มเป็นจำนวนมากในภาคใต้

ดังนั้น สมรภูมิในการเลือกตั้งครั้งใหม่ พรรคการเมืองที่กลายเป็นคู่ต่อสู้ของประชาธิปัตย์ จึงกลายเป็นรวมไทยสร้างชาติ ที่ใช้พลังดูด ส.ส. และอดีต ส.ส. ไปจากพรรคประชาธิปัตย์ และอีกพรรคคือ "ภูมิใจไทย" ซึ่งขณะนี้กลายเป็นพรรคคู่กัดของประชาธิปัตย์ จากกรณีการที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เอากัญชาเสรีของพรรคภูมิใจไทย เมื่อเป็นอย่างนี้ต้องเรียกว่า พรรคประชาธิปัตย์งานเข้า และนับเป็นวิบากกรรม ในยามที่พรรคต้องการพลังสามัคคีในการสร้างปึกแผ่น ก่อนการเข้าสู่สงครามการเลือกตั้ง

ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามคือ วันนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติมีความมั่นใจแค่ไหนในการที่จะนำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาเป็นจุดขาย หรือมาขึ้นเขียง เพราะ 1.การบริหารประเทศที่ผ่านมา 2 สมัย ตั้งแต่สมัยแรกที่ยึดอำนาจมาจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์มีอำนาจล้นฟ้า ไม่ได้ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี แม้แต่ปัญหาการแบ่งแยกดินแดนใน 3 จังหวัดและ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ก็ประสบกับความล้มเหลวในการแก้ปัญหา

ประเด็นที่ 2 เรื่องการปรามปรามทุจริตคอร์รัปชันก็ทำไม่สำเร็จ เพราะการฉ้อราษฎร์บังหลวงเพิ่มมากกว่าเดิม การปฏิรูปประเทศล้มเหลว การสร้างความปรองดองเป็นเพียงวาทกรรม เรื่องเศรษฐกิจกลายเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุน จนเป็นการสร้างความร่ำรวยและความยิ่งใหญ่ให้แก่คนเพียง 20 ตระกูลในกรุงเทพฯ เท่านั้น

และประเด็นที่ 3 สมัยที่ 2 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นนายกรัฐมนตรี นอกจากการลด แจก แถม และการให้แบบ ”คนละครึ่ง” แล้วก็ไม่มีอะไรที่โดดเด่น สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศแย่กว่าเดิม ปัญหาปากท้องของประชาชนหนักกว่าเดิม ชาวสวนยาง ชาวประมงในภาคใต้ทุกข์หนักกว่าเดิม

ที่สำคัญเป็นยุคที่ยาเสพติดระบาดหนักที่สุด และมีราคาถูกที่สุด ประเทศไทยเข้าสู่ยุค "ของแพงทั้งแผ่นดิน" และ "จนทั้งแผ่นดิน" ดังนั้น ถ้าคนใต้เลือก ส.ส.ของรวมไทยสร้างชาติก็จะได้ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง และการบริหารประเทศคงจะไม่ต่างกว่าที่เคยเป็นมา

ที่สำคัญกว่า หากได้ "ลุงตู่" กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลจะบริหารประเทศได้เพียง 2 ปี ต้องมีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีได้อีก 2 ปี ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ถ้าคนใต้ หรือคนทั้งประเทศเลือก ส.ส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อให้ "ลุงตู่" หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยก็จะได้รัฐบาลครึ่งเทอม วันนี้คนไทยทั้งประเทศ จะเอากันอย่างนั้นหรือ ที่สำคัญ พรรคการเมืองอื่นๆ เห็นอย่างไรกับรัฐบาล 2 ปี หรือนายกฯ ครึ่งเทอม”ฃของประเทศไทย

หนักน่ะหนักแน่ สำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ในสมัยหน้า แต่ก็ไม่ควรที่ตีโพยตีพายกับการที่เลือดและหนองของพรรคที่ไหลออกในครั้งนี้ เห็นด้วยกับ "นิพนธ์ บุญญามณี" ที่บออกว่า การย้ายเข้า-ย้ายออกของนักการเมืองเป็นเรื่องปกติ การรักษาพรรคเอาไว้เป็นเรื่องสำคัญกว่า การที่คนเก่าออกไป เป็นการให้โอกาสคนรุ่นใหม่บนถนนการเมือง หน้าที่ของผู้บริหารพรรค คือตรวจสอบให้แน่ชัดว่า ยังจะมี ส.ส. และ สมาชิกพรรคอีกกี่มากน้อยที่กำลังจะทิ้งพรรคไป เพื่อที่จะหาคนใหม่ที่รอโอกาสอยู่ ซึ่งอาจจะเป็นของดีที่ประชาชนต้องการมากกว่าของเก่าก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น

ที่สำคัญ ประชาชนทั้งที่เป็นคนใต้ และคนไทยทั้งประเทศควรจะ "สำเหนียก" คือ พรรคที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นพรรคเฉพาะกิจ เพื่อเป็นนั่งร้านให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดไปเป็น "นายกรัฐมนตรี" ล้วนแต่มีจุดจบที่ไม่ได้สวยงามแม้แต่พรรคเดียว แล้วเมื่อเป็นอย่างนี้ทำไมจึงต้องหลงใหลได้ปลื้มกับการเกิดขึ้นของพรรคเฉพาะกิจเหล่านี้ด้วยเล่า

และที่สำคัญกว่าคือ พรรคประชาธิปัตย์ต้องหาจุดบอดของพรรค ของผู้บริหารให้ได้ว่า เหตุใดสมาชิกพรรค หรือ ส.ส.อดีต ส.ส.และบ้านใหญ่ที่เคยสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์มาอย่างยาวนาน จึงละทิ้งพรรคไปแบบไม่แยแส ทุกอย่างต้องมีสาเหตุ ที่มาและที่ไปทั้งสิ้น หาเหตุให้พบ แก้ให้ทัน มียุทธศาสตร์ที่นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง และมีกลยุทธ์ที่นำไปสู่ชัยชนะ คือเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ในยามที่ไม้ไผ่ ที่เป็นไผ่กอเดียวกักลายเป็น "ด้ามพร้า" เพื่อฟาดฟันกันแบบตายกันไปข้างหนึ่ง

สุดท้ายการเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์ที่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ยังเป็นสัจธรรมที่เชื่อถือได้


กำลังโหลดความคิดเห็น