โดย.. ศูนย์ข่าวภาคใต้
ไม่ผิดหรอก!! ถ้าจะบอกว่าการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรที่จะมีขึ้นในปี 2566 เป็นการตัดสินชะตาของพรรคการเมืองเก่าแก่ อย่าง “พรรคประชาธิปัตย์” เพราะการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองที่ “บอบช้ำ” ที่สุด ในบรรดาของพรรคการเมืองที่เข้า “สัประยุทธ์” ในสนามการเลือกตั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร และที่ ภาคใต้
ในการเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นการชี้ชะตา และบอกถึงอนาคตของพรรคการเมืองเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ ที่ก่อนจะมีการเลือกตั้งก็มีสมาชิกของพรรคไหลออกจำนวนหนึ่ง เพื่อไปสังกัดพรรคการเมืองอื่นๆ ที่เห็นว่าเป็นพรรคที่ “มีเงินกว่า” และ “มีอนาคต” ทางการเมืองที่ดีกว่า
การเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะมาถึงได้มีโอกาสสนทนากับ “นิพนธ์ บุญญามณี” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้อำนวยการเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งครั้งนี้ถึง “ทิศทาง” ของพรรคประชาธิปัตย์ในการลงสนามการเลือกตั้งในปี 2565 (ถ้ามี) เพื่อทราบถึงความพร้อม ทราบถึงทิศทาง และสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ แต่ละภูมิภาค
ซึ่งประเด็นแรกที่ “นิพนธ์” ได้กล่าวถึงคือ เรื่องการไหลออกจากพรรคของสมาชิกพรรคจำนวนหนึ่งว่าเป็นเรื่องปกติของทุกพรรคการเมือง และที่ผ่านมา “ประชาธิปัตย์” เคยเจอการไหลออกของสมาชิกพรรคที่หนักกว่านี้มาแล้ว พรรคการเมืองอื่นๆ ก็มีการไหลเข้าไหลออกของสมาชิกพรรค เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องปกติของทางการเมืองที่พรรคไม่ได้ตกใจและหวั่นไหว เมื่อคนเก่าออกไป ก็มีคนใหม่หรือเลือดใหม่เข้ามาแทนที่ ซึ่งสังเกตได้ว่าเลือดใหม่ที่เข้ามาแทนที่ล้วนเป็น “คนรุ่นใหม่” ที่เป็นหนุ่มสาว แสดงให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจ และเชื่อมั่นในแนวทางของพรรค นี่เป็นเรื่องที่ควรจะดีใจมากกว่า
พร้อมแค่ไหนกับการเลือกตั้งที่จะมาถึงในปีหน้า
“นิพนธ์” กล่าวว่า “ประชาธิปัตย์” มีการเตรียมความพร้อมตั้งแต่ผ่านการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ที่พรรคเราประสบกับความพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งของภาคใต้ และของ กทม. พรรคได้ “ถอดบทเรียน” ของความพ่ายแพ้เพื่อที่จะแก้มือในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ดังนั้น ประชาธิปัตย์ พร้อมมานานแล้วกับการเลือกตั้งที่จะมาถึง
มั่นใจแค่ไหนว่าจะยึดพื้นที่คืนได้สำเร็จ
เรื่องของความมั่นใจ “นิพนธ์” กล่าวว่า สิ่งแรกคือเรื่องของผู้สมัครที่ผ่านการคัดเลือก มีการคัดเลือกตามขั้นตอนของพรรค ที่ต้องเลือกคนดี คนที่ใกล้ชิดประชาชน มีประสบการณ์ทางการเมือง ในกรณีที่มีผู้สมัครหลายคนในเขตเดียวกันก็มีการทำโพล ซึ่งบางเขตมีการทำโพลถึง 2 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจ และสร้างความโปร่งใสและชอบธรรม ทั้งกับพรรคและกับผู้สมัครเอง ซึ่งอาจจะมีข่าวการถกเถียงกันบ้าง แต่สุดท้ายก็มีการยอมรับ เพราะเป็นไปตามกติกาของพรรค ดังนั้น เรื่องของผู้สมัครมีความพร้อมกว่าทุกครั้ง เพราะเราใช้เวลาทำมานานแล้ว
ภาคใต้จะยึดคืนได้ทั้งหมดหรือไม่
“นิพนธ์” กล่าวว่า ถ้าบอกว่าได้ทั้งหมดก็เกินความเป็นจริง แต่ครั้งนี้พรรคเราเชื่อมั่นว่า เราจะได้ ส.ส.เขตคืนมามากกว่า 40 เขต จากทั้งหมด 58 เขต โดยเฉพาะในจังหวัดที่ประชาธิปัตย์ถือว่าเป็น “เมืองหลวง” ของภาคใต้ เช่น จ.นครศรีธรรมราช จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.สงขลา ต้องยกจังหวัด และจังหวัดที่เสียไป 1-2 ที่นั่ง อย่าง จ.ตรัง จ.พัทลุง จ.กระบี่ และ จ.สตูล เราก็จะได้คืนมาทั้งหมด แม้แต่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ในครั้งที่แล้วเราได้แค่ 1 ที่นั่ง เลือกตั้งครั้งนี้เราเชื่อมั่นว่าจะได้เพิ่มขึ้นแน่
ประชาธิปัตย์จะส่งผู้สมัครทั้งหมดหรือไม่
เรื่องนี้ “นิพนธ์” กล่าวว่า เราส่งครบ 400 เขต และเขตที่เราหวังมี 100 เขต ที่เราเชื่อว่าเราสู้กับผู้สมัครจากพรรคการเมืองอื่นๆ ได้ การต่อสู้ครั้งนี้เราไม่ได้ตั้งเป้าแบบเลิศเลอ แต่เราตั้งความหวังอยู่กับความเป็นจริง ที่ต้องการ 80 ที่นั่งขึ้นไป รวมทั้งกับที่เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ
การเกิดขึ้นของพรรคการเมืองใหม่ๆ และการที่ “บ้านใหญ่” ที่เคยสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ อย่างที่ จ.ชุมพร จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.พัทลุง เป็นปัญหาที่หนักใจของพรรคหรือไม่
ประเด็นนี้ “นิพนธ์” กล่าวว่า การเลือกตั้งทุกครั้งไม่มีที่จะไม่หนักใจ เพราะเป็นการทำงานหนักเพื่อการแข่งขัน และบางพื้นที่ต้องแข่งกับ “กระสุน” แต่ในวิถีทางการเมืองก็ต้องใช้ “กลยุทธ์” ในการต่อสู้ “บ้านใหญ่” ไปสนับสนุนพรรคการเมืองอื่น แต่ “บ้านเล็ก” ที่หมายถึงประชาชนยังอยู่กับเรา ถ้าเขาเลือกเรา เราก็ชนะ
เรื่องของนโยบายในการหาเสียงเป็นอย่างไร
“นิพนธ์” กล่าวว่า เรื่องนโยบายยังอยู่ระหว่างการปรับปรุงแก้ไข ด้วยการรับฟังความคิดเห็น ความต้องการของประชาชนในพื้นที่ เพื่อนำมาปรับให้สอดคล้อง และผู้ที่แถลงนโยบายจะเป็นหัวหน้าพรรค แต่บอกได้ว่า นโยบายที่จะประกาศเป็นนโยบายที่ครอบคลุมความเป็นอยู่ของประชาชนทุกสาขาอาชีพ
ร่วมเป็นรัฐบาลมาจนเกือบครบเทอม ได้ทำในสิ่งที่บอกกับประชาชนได้แค่ไหน
“นิพนธ์” กล่าวว่า ในการเข้าร่วมรัฐบาลที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ประชาธิปัตย์มีเงื่อนไข 3 ข้อคือ (1) ประชาธิปัตย์มีนโยบายประกันรายได้ให้เกษตรกร ซึ่งประชาธิปัตย์ได้ทำครบถ้วนสมบูรณ์ เป็นยุคเดียวที่เกษตรกรออกมาชุมนุมเรียกร้องในเรื่องของราคาผลผลิตตกต่ำน้อยที่สุด ส่วนเรื่องที่ (2) เรื่องแก้รัฐธรรมนูญก็มีการดำเนินการ และเรื่องที่ (3) เรื่องการบริหารด้วยความซื่อสัตย์ ประชาธิปัตย์ก็ไม่มีเรื่องด่างพร้อยแต่อย่างใด
นอกจากการยึดคืนภาคใต้แล้ว ในพื้นที่อื่นๆ คิดว่า “ประชาธิปัตย์” จะได้ ส.ส.เพิ่มขึ้นหรือไม่
“นิพนธ์” กล่าวว่า พรรคจะต้องรักษาที่มั่นในภาคกลาง 9 ที่นั่งให้ได้ และต้องเพิ่มจำนวน ส.ส.ในพื้นที่ภาคกลางให้ได้มากกว่าของเก่าที่มีอยู่ เช่นเดียวกับภาคเหนือที่มีอยู่ 1 ที่นั่ง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 ที่นั่งก็ต้องเพิ่มขึ้น เพราะทั้งผู้สมัคร ทั้ง ส.ส.ที่มีอยู่เดิม และผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคทุกคนทำงานอย่างเต็มที่
ในส่วนของ กทม. เป็นอย่างไร
“นิพนธ์” กล่าวว่า ในส่วนของ กทม. ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ พรรคได้ ส.ก.จำนวน 9 ที่นั่ง และอีก 7 ที่นั่งที่เข้ามาเป็นที่ 2 ของการเลือกตั้ง เป็นการแพ้มามาก วันนี้ใน กทม. พรรคทำงานหนักและต่อเนื่อง เราหวังที่จะต่อยอดจาก ส.ก.ที่มีอยู่ เพื่อไปสู่ที่นั่งของ ส.ส.ใน กทม. และเชื่อว่าเลือกตั้งครั้งนี้ “ประชาธิปัตย์” จะได้ ส.ส.กทม. แต่จะเป็นกี่ที่นั่ง ณ วันนี้ยังตอบไม่ได้ เพระพื้นที่ของ กทม. มีปัจจัยที่ทำให้มีการผันแปรได้ตลอดเวลา