โดย.. ศูนย์ข่าวภาคใต้
รายงานข่าวจากผู้สื่อข่าวในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้รับการเปิดเผยจากแกนนำพรรคภูมิใจไทย ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) ว่า นโยบาย “กัญชาเสรี” ของพรรคภูมิใจไทย อาจจะได้ผลในทางการเมืองในภาคอื่นๆ และพื้นที่อื่นของภาคใต้ แต่เป็นอุปสรรคในการหาเสียงของผู้สมัครในพื้นที่ 3 จังหวัดดังกล่าว เพราะตั้งแต่ “ภูมิใจไทย” เปิดตัวเรื่อง “กัญชาเสรี” ได้รับการต่อต้านจากผู้นำศาสนา และประชาชนชาวมุสลิมที่เคร่งครัดในบทบัญญัติของศาสนา สังเกตได้จากในทุกวันศุกร์ที่เป็นวันละหมาดใหญ่ ทุกมัสยิด ผู้นำศาสนาต่างได้มีการคุตเบาะกับผู้เข้าร่วมละหมาด เพื่อแสดงการรับไม่ได้กับพรรคการเมืองที่เป็นเจ้าของนโยบายกัญชาเสรี รวมทั้งในเรื่องกฎหมาย “สมรสเท่าเทียม” ที่ขัดกับหลักศาสนาอิสลาม
แกนนำในพื้นที่กล่าวอีกว่า ก่อนหน้าที่จะมีนโยบายกัญชาเสรีของพรรค กระแสของพรรคภูมิใจไทยใน 3 จังหวัดดีมาก และเราหวังว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคจะได้ ส.ส.เพิ่มขึ้น จากที่มี ส.ส.เพียงคนเดียวใน จ.ปัตตานี แต่หลังจากมีการต่อต้านกัญชาเสรี ทั้ง ส.ส. และว่าที่ผู้สมัคร รวมทั้งแกนนำต้องทำงานหนักเพื่อสื่อสารทำความเข้าใจกับผู้นำศาสนา ผู้นำโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา และประชาชน ว่าที่ผู้สมัครหลายคนถอดใจในการที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้
“วันนี้ในพื้นที่ 3 จังหวัด จึงต้องใช้นโยบายการพัฒนาที่พรรคทำสำเร็จในพื้นที่อื่นๆ และนโยบายพักหนี้ ปลอดดอกเบี้ย 3 ปี ในวงเงินหนี้ 1 ล้านบาท ซึ่งเป็นนโยบายล่าสุดของพรรค และได้ทำประชาสัมพันธ์ในนโยบายดังกล่าวอย่างเต็มที่ ทั้งจากป้ายโปสเตอร์ และใช้โซเชียลมีเดีย ที่แกนนำ และผู้สมัครมีการสร้างกลุ่มไลน์ กลุ่มเพจและอื่นๆ เพื่อเป็นการแก้เกม” แกนนำของพรรคภูมิใจไทยในพื้นที่ กล่าว
นายอับดุลเลาะห์ ยาห์ยา ผู้นำภาคประชาสังคมในพื้นที่ จ.ปัตตานี กล่าวว่า นโยบายกัญชาเสรี เป็นนโยบายการส่งเสริมยาเสพติด ที่คนมุสลิมทั้งหมดรับไม่ได้ และยิ่งมีข่าวเรื่องอดีตตำรวจที่ติดยา ฆ่าหมู่เด็กๆ ครู และชาวบ้านที่ จ.หนองบัวลำภู ยิ่งรับไม่ได้ เพราะไม่ว่ายาบ้า หรือกัญชาต่างก็เป็นยาเสพติดที่มีผลให้คนคลั่ง ขาดสติ และทำร้ายสังคมได้ วันนี้เฉพาะเรื่องน้ำกระท่อมในพื้นที่กับยาบ้าก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างหนัก เมื่อกัญชาเสรีมาอีกยิ่งเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ในพื้นที่ นโยบายกัญชาเสรีจะทำให้พรรคภูมิใจไทย อาจจะไม่ได้ ส.ส.เลยก็เป็นได้
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของพรรคอื่นๆ เช่น แกนนำพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีเวลาในการเป็นนายกรัฐมนตรีเพียง 2 ปี เป็นผลให้การสนับสนุนผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐเป็น ส.ส.ลำบากขึ้น เพราะไม่สามารถที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีครบเทอมคือ 4 ปี ทำให้ประชาชนที่เคยสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ เพราะต้องการ “ลุงตู่” เป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องคิดมาก และอาจจะไม่เลือกผู้สมัครของพรรคนี้
ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค และผู้อำนวยการเลือกตั้งพรรค กล่าวว่า ได้มีการเรียกประชุมว่าที่ผู้สมัครในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มาทำการสัมมนาเพื่อเตรียมความพร้อม และรับทราบนโยบายในการลงพื้นที่เพื่อพบปะประชาชน รวมทั้งการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการหาเสียง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเข้าถึง และสื่อสารกับประชาชนในยุคนี้ ซึ่งในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชาธิปัตย์ได้ผู้สมัครครบแล้ว และมั่นใจว่าสู้กับคู่แข่งจากพรรคอื่นๆ ได้ทุกเขต แม้แต่เขตที่เคยเป็นของเรา และเราแพ้อย่างที่ จ.สงขลา เขต 7 และ จ.สตูล เขต 1 เรามีคะแนนนิยมที่ดีขึ้น ผลการเลือกตั้งที่จะออกมาในการเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาธิปัตย์ “ไม่ขี้เหร่” แน่นอน