นครศรีธรรมราช - กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ส่งผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่สำรวจโพรงต้นไม้ 100 ปี ธรรมชาติในพื้นที่ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช หลังนักเดินป่าติดเชื้อราจากขี้ค้างคาว พร้อมปิดกั้นพื้นที่วางแผนสำรวจเชิงรุกป้องกันไม่ให้ค้างคาวย้ายถิ่น
วันนี้ (5 ต.ค.) จากกรณีข่าวการเกิด Histoplasmosis ของคณะกลุ่มศึกษาธรรมชาติ ในพื้นที่ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช จากการหายใจเอาสปอร์ของเชื้อราฮิสโตพลาสมา แคปซูลาตุม (Histoplasma capsulatum) ที่ลอยขึ้นมาในอากาศจากมูลค้างคาวที่ตกลงบนพื้นดิน เข้าไปในปอด
ล่าสุด ที่ ม.5 บ้านวังหีบ ต.นาหลวงเสน อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช นายสัตวแพทย์ภัทรพล มณีอ่อน หัวหน้ากลุ่มงานจัดการสุขภาพสัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยาน เจ้าหน้าอุทยานแห่งชาติน้ำตกโยง สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 นครศรีธรรมราช ร่วมกับทีมอาจารย์และนักวิทยาศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มทร.ศรีวิชัย และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งมูลค้างคาวและดินภายในโพรงต้นไม้ และได้ทำการสวอบผนังโพรงต้นไม้ดังกล่าว เพื่อตรวจหาเชื้อโรคต่างๆ ทางห้องปฏิบัติการ และวางแผนที่จะทำการสำรวจและเฝ้าระวังโรคเชิงรุกในพื้นที่
สำหรับจุดที่ถูกระบุนั้นเป็นเขตรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติน้ำตกโยง เจ้าหน้าที่ได้เข้ากันพื้นที่รัศมี 10 เมตร จากโพรงเป็นเขตหวงห้ามป้องกันคนเข้าใกล้ต้นไม้หรือเข้าในโพรงต้นไม้ที่มีค้างคาวอาศัยอยู่ และเตรียมกำหนดเป็นพื้นที่พิเศษในการให้ความรู้ และป้องกันไม่ให้ค้างคาวเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือเคลื่อนย้ายถิ่น
และจากการสำรวจต้นไม้พบว่าเป็นต้นช้าม่วง หรือชะมวงขนาดใหญ่ อายุกว่า 100 ปี ด้านนอกมีโพรง ข้างในเป็นเป็นโพรงขนาดใหญ่ คนเข้าไปได้ประมาณ 7 คน และมีค้างคาวอาศัยอยู่ เช่น ค้างคาวแวมไพร์แปลงเล็ก โดยสภาพแวดล้อมในโพรงต้นไม้เหมาะแก่การอาศัยของค้างคาว และการเจริญเติบโตของเชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อราชนิดต่างๆ ซึ่งอุณหภูมิ ความชื้น มีช่องทางเข้าออกทางเดียว ลมไม่พัดผ่าน โอกาสที่จะพบความเข้มข้นของเชื้อราในอากาศจะสูงกว่าพื้นที่อื่นๆ เหมาะสมเป็นอย่างมากกับการเจริญเติบโตของเชื้อ
เมื่อคนเข้าไปในช่วงกลางวัน ซึ่งค้างคาวกำลังนอนพักนั้น การส่งเสียงดัง การถ่ายภาพ แสงแฟลช การส่องไฟจะทำให้ค้างคาวตกใจ เครียด อึ ฉี่ และส่งเสียงร้อง ทำให้เชื้อโรคต่างๆ ฟุ้งกระจายในโพรงได้ หากคนเข้าไปแล้วไม่ใส่หน้ากากอาจสูดเอาเชื้อโรคดังกล่าวเข้าไปได้ หรือถึงแม้ว่าใส่อาจทำให้ร่างกายปนเปื้อนจากสารคัดหลั่งจากค้างคาว อาจทำให้เกิดโรคขึ้นมาได้
นายสัตวแพทย์ภัทรพล ระบุว่า แนะนำแนวทางปฏิบัติให้แก่ชาวบ้านบริเวณพื้นที่ถึงข้อควรระวัง และหากเคยเข้าไปในโพรงต้นไม้ต้นนี้ โดยไม่ใส่หน้ากากอนามัยควรไปพบแพทย์เพื่อเอกซเรย์ปอด และแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยว่า มีประวัติการคนที่อายุน้อยสุขภาพแข็งแรง ถึงติดเชื้อรา ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ หายเองได้ ไม่ต้องรักษา คนที่อายุมากมีโรคประจำตัว ต้องรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อรา และกรมอุทยานฯ ได้จัดทำคู่มือความรู้
ขณะที่ นพ.สุทธิพจน์ ชยณัฎพงศ์ รักษาการนายแพทย์ สาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วย นพ.ปณิธาน สื่อมโนธรรม ผอ.รพ.ทุ่งสง ได้เข้าพื้นที่เปิดเผยว่า โรคนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในหลายพื้นที่และถือเป็นโรคที่ไม่น่ากลัวเพราะไม่สามารถติดต่อคนสู่คนได้ เชื้อนี้จะอยู่ในมูลของค้างคาว หรือนก หรือสัตว์ปีกทั้งหลาย การดำเนินของโรคจะมี 3 รูปแบบคือ การสูดเข้าปอด การมาติดตามผิวหนังที่เป็นแผลจะทำให้หายยาก ปกติเป็นแผล 2-3 วันจะหาย แต่หากเป็น 1-2 เดือนยังไม่หายให้สงสัยว่าเป็นเชื้อรา และอีกกลุ่มหนึ่งที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องจะมีการกระจายไปทั่วร่างกาย จะมีต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโต แต่เป็นเชื้อราที่รักษาได้มียาฆ่าเชื้อรา
ส่วนที่รายงานในพื้นที่ยังไม่พบเชื้อ ผู้นำทางคณะที่ติดเชื้อวันนี้ก็ไป รพ.ทุ่งสง เอกซเรย์ปอดไม่พบเชื้อ ซึ่งบางคนหากมีภูมิแข็งแรงไม่มีอาการเราจะไม่รู้ แต่หากคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องจะมีโอกาสติดเชื้อ 3 ช่องทางตามที่บอกข้างต้น ซึ่งไม่อยากจะให้ประชาชนตื่นตระหนกเป็นโรคที่เจออยู่และไม่ได้ติดต่อได้ง่าย คงจำข่าวเด็กติดอยู่ในถ้ำหลวงที่เชียงราย ซึ่งมีการเฝ้าระวังโรคนี้ด้วยก็ไม่พบแต่อย่างใด ซึ่งประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนก
ด้าน นายยงยุทธ มณีฉาย ซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่และเป็นผู้นำทางคณะศึกษาธรรมชาติในวันดังกล่าว เปิดเผยว่า ได้มีนักท่องเที่ยวมาติดต่อลุงว่าจะพาเด็กไปเที่ยวหนานพับผ้า ลุงคิดว่าเด็กมาแล้วคงอยากเห็นต้นไม้ที่มีโพรงขนาดใหญ่แปลกๆ ก็พาไป โดยลุงเข้าไปในโพรงต้นไม้เป็นคนแรกเพื่อตรวจความเรียบร้อยในโพรงต้นไม้และบรรดาเด็กนักศึกษาธรรมชาติเข้าไปทีละคน และถ่ายรูปค้างคาวที่นอนอยู่ 3-4 ตัว และอยู่ๆ มีคนโทร.มาบอกว่าเด็กที่เข้าไปในโพรงวันนั้นมีอาการผิดปกติติดเชื้อรา และมีการให้ลุงไปเช็กสุขภาพด้วยในวันนี้ที่ รพ.ทุ่งสง เอกซเรย์ไม่พบว่าปอดมีการติดเชื้อใดๆ