xs
xsm
sm
md
lg

ทนายนำเจ้าของเงิน 1.4 ล้านโดนดูดเกลี้ยงบัญชี หอบหลักฐานขึ้นศาลฟ้องแบงก์เรียกเงินคืน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ตรัง - ทนายความนำเจ้าของเงินกว่า 1.4 ล้านบาท ชาวตรัง ที่ถูกคนร้ายโจรกรรมดูดเงินกลางอากาศไปจากบัญชีธนาคาร หอบหลักฐานขึ้นศาลฟ้องร้องแบงก์ เพื่อเรียกเงินของลูกค้ากลับคืนมาทั้งหมด

จากกรณีที่ นางนิส ไทรงาม อายุ 63 ปี ชาว อ.ห้วยยอด จ.ตรัง พร้อมด้วย น.ส.นิดา ไทรงาม อายุ 35 ปี ซึ่งเป็นลูกสาว และ น.ส.ศิริวรรณ ไทรงาม อายุ 36 ปี ซึ่งเป็นลูกสะใภ้ ได้ร้องเรียนผู้สื่อข่าวว่าถูกมิจฉาชีพโทรศัพท์เข้ามาอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร แจ้งเรื่องค้างภาษี พร้อมแชตไลน์ส่งลิงก์อ้างเป็นลิงก์เว็บกรมสรรพากร เข้ามาให้ น.ส.นิดา กดลิงก์เข้าไปตรวจสอบว่ามีการค้างภาษีหรือไม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงที่จะต้องยื่นจ่ายภาษี แต่เมื่อกดเข้าไปแล้วโทรศัพท์ค้าง ขึ้นหน้าจอเป็นสีฟ้า มีโลโก้กรมสรรพากร พร้อมข้อความว่า “668325 อยู่ระหว่างการทำการตรวจสอบชื่อนาม-สกุล ห้ามใช้งานโทรศัพท์” และโทรศัพท์ไม่สามารถทำอะไรได้อีก

จากนั้นปรากฏว่าในเวลาและนาทีเดียวกันกับที่โทรศัพท์ค้าง ทำธุรกรรมใดๆ ไม่ได้อีกเลย ปรากฏข้อความเงินถูกโอนออกจากบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ จำนวน 1,458,000 บาท และธนาคารกรุงไทย จำนวน 10,000 บาท จึงรีบประสานติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร และเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ห้วยยอด ทราบเบื้องต้นว่าเงินถูกโอนเข้าบัญชีชื่อ น.ส.สุภาพร กุลอามาตย์ และทางธนาคารได้ทำการอายัดบัญชีแล้ว แต่สุดท้ายไม่ทันการณ์ เงินถูกโอนต่อไปยังบัญชีอื่นๆ อย่างรวดเร็วนั้น


ล่าสุด น.ส.นิดา ไทรงาม อายุ 35 ปี ลูกสาวของผู้เสียหาย กล่าวว่า ในส่วนของคดีนั้น ทางตำรวจยังไม่ได้แจ้งผลความคืบหน้าใดๆ แต่ขณะนี้เรื่องได้ไปอยู่ที่ส่วนกลางแล้ว ส่วนทางธนาคารแจ้งมาว่าได้มีการแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีที่เกิดขึ้นไปแล้ว รวมทั้งไม่ได้แจ้งว่าจะชดใช้เงินที่สูญหายไปหรือไม่ ขณะเดียวกัน ทางธนาคารยังมิได้ส่งเอกสาร หรือหลักฐานใดๆ มาให้ทางผู้เสียหายเลย แม้ทางทนายของตนเองจะมีการทวงถามไปแล้วก็ตาม โดยทางธนาคารบอกว่าจะเป็นผู้ส่งข้อมูลต่างๆ ไปให้ทางตำรวจเอง ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ตนไม่กล้าทำธุรกรรมกับทั้ง 2 ธนาคารที่เกิดเรื่อง รวมทั้งทุกๆ ธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นการฝากถอนเงินสดโดยตรง หรือใช้ผ่านแอปธนาคาร เพราะรู้สึกกลัว และไม่มั่นใจในระบบอีกแล้ว ยอมเก็บเงินสดไว้กับตัว และให้คนที่ขายหมูมารับเงินสดที่เขียง แทนที่จะโอนผ่านแอปแบบเมื่อก่อน นอกเสียจากธนาคารที่เราเอาเงินไปฝากจะได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบกรณีที่เกิดเงินสูญหายไปแบบนี้ เพราะกรณีที่เกิดขึ้นตนเองยืนยันว่า ขณะนั้นไม่ได้ใช้แอปธนาคาร หรือกดรหัส Pin ใดๆ เลย เนื่องจากเครื่องมือถือล็อก แล้วจู่ๆ มีเงินไหลออกไปจากบัญชีเลยโดยที่ไม่รู้ตัว

ส่วน นางนิส ไทรงาม อายุ 63 ปี ผู้เสียหาย กล่าวว่า ผลกระทบจากกรณีที่เงินถูกดูดไปเป็นจำนวนมาก ทำให้ธุรกิจร้านกิฟต์ชอปที่ตั้งใจจะดำเนินการต้องหยุดชะงักเอาไว้ก่อน เพราะไม่มีเงินมาซื้อของเข้าร้าน โดยก่อนที่เงินจะหายไป มีการลงทุนซื้อของเข้าร้านไปแล้วประมาณ 1 แสนบาท และบางส่วนสั่งซื้อเพิ่มไปแล้ว แต่ของยังมาไม่ครบ เพราะเงินมีปัญหา เลยยังไม่ได้จ่ายให้เขาอีกประมาณ 3-4 แสนบาท


ทางด้าน นายภูภัณฑ์ ชิตชลธาร หนึ่งในทนายความของผู้เสียหาย กล่าวว่า เนื่องจากธนาคารพาณิชย์มีหน้าที่ในการควบคุม และพัฒนาระบบแอปมาให้ประชาชนใช้บริการฝากถอนเงิน หรือทำธุรกรรมอื่นใดโดยคิดค่าบริการ ซึ่งประชาชนจะไม่สามารถไปใช้แอปอย่างอื่นดำเนินการได้ นอกจากแอปที่ทางธนาคารให้ลูกค้าโหลดเข้าเครื่องมือถือเท่านั้น อีกทั้งแต่ละธนาคารเองต่างพยายามแข่งขันกันในการพัฒนาระบบแอป เพื่อให้มีความปลอดภัยต่อลูกค้าที่นำเงินไปฝาก เพราะหากธนาคารใดมีระบบแอปที่ดีมากเท่าไหร่ ลูกค้าจะแห่กันไปฝากเงินกันมากเท่านั้น

ดังนั้น ทางธนาคารจึงต้องทำการป้องกันเพื่อมิให้ระบบดังกล่าวเกิดความบกพร่องหรือความผิดพลาด หรือมิให้มิจฉาชีพเข้ามาใช้ระบบแอปของทางธนาคารได้ อีกทั้งขณะเกิดเหตุลูกค้าของทางธนาคารรายนี้ ก็มิได้ดำเนินการใดๆ ผ่านระบบแอปของทางธนาคารเลย เพียงแค่ถูกมิจฉาชีพหลอกให้ดำเนินการอย่างอื่นเท่านั้น ทางธนาคารจึงไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบในกรณีนี้ได้ จึงได้ดำเนินการฟ้องร้องกับทางธนาคารในความผิดเรื่องละเมิด และผิดสัญญาฝากเงิน เพื่อเรียกเงินของลูกค้ากลับคืนมาทั้งหมด เนื่องจากกรณีที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นความบกพร่องระบบแอปของทางธนาคารเอง จึงมั่นใจว่าผู้เสียหายมีโอกาสที่ชนะในคดีนี้สูง และจะถือเป็นตัวอย่างเป็นคดีแรกของประเทศ




กำลังโหลดความคิดเห็น