โดย... ศูนย์ข่าวภาคใต้
"ไม่ได้แม้แต่บาทเดียว" คือคำยืนยันทุกครั้งของ "นายเดชอิศม์ ขาวทอง" หรือ "นายกชาย" ส.ส.สงขลา และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ดูแลพื้นที่ภาคใต้ หลังมีคำร่ำลือกันว่า "นายเตียว วุย ฮวด" หรือ “โทนี่ เตียว” นักธุรกิจชาวมาเลเซีย เจ้าของอาณาจักรเอ็มบีไอ กรุ๊ป ซึ่งเข้ามาลงทุนที่ด่านนอก อ.สะเดา จ.สงขลา มากมายนับหมื่นล้านบาท มีสัมพันธ์อันดีเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้ “นายกชาย”
เป็นคำร่ำลือที่ออกมาหนาหูหลังเกิดข่าวครึกโครมจากการที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นำกำลังเข้าจับกุมตัวในข้อหาฟอกเงินจากการค้ายาเสพติด เมื่อกลางดึกของวันที่ 21 ก.ค. ที่มีการคาดการณ์กันไปต่างๆ นานา และที่ให้น้ำหนักมากสุดเชื่อว่าเป็นเรื่องของ “การเมืองหักเหลี่ยมโหด” เป็นเพราะ “นายกชาย” สมัยยังปีกไม่แข็ง เคยไปขอพึ่งอำนาจบารมี “ลุงป้อม” แต่เวลานี้เหมือนทำตัวไม่เป็นที่ถูกใจ โดยเฉพาะช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมือง ที่ใกล้จะเข้าโหมดเลือกตั้งอีกครั้ง จึงต้องตบหลังตบไหล่ส่งสัญญาณ
แล้ว "เตียว วุย ฮวด" คือใคร ทำไมจากนักธุรกิจชาวมาเลเซียจึงกลายมาเป็นตัวละครในศึกการเมืองครั้งนี้
"เตียว วุย ฮวด" หรือ "โทนี่ เตียว" เป็นคนมาเลเซียเชื้อสายจีน ชื่อทางการในภาษามาเลเซียจึงออกสำเนียงจีนที่เขียนด้วยอักษรไทยได้ว่า “เตียว วุย ฮวด” ชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการคือ “เสี่ยวจาง” แต่มีคนจำนวนหนึ่งพานเรียกว่า “เสี่ยจาง” ซึ่งได้ความหมายเช่นกัน ส่วนชื่อเรียกที่ออกไปทางสากลแบบถูกลิ้นฝรั่งและโดยเฉพาะคนไทยด้วยคือ “โทนี่ เตียว” แต่สำหรับคนจีนแผ่นดินใหญ่และจีนโพ้นทะเลอื่นๆ จะผิดแผกไปนิดเรียกขานเขาว่า “เทดี้ เตียว”
“เตียว วุย ฮวด” มีหมายจับเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงและฟอกเงินในมาเลเซีย รวมถึงในสาธารณรัฐประชาชนจีน “เทดี้ เตียว” มีหมายจับเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงเช่นกัน เป็นหมายแดงขององค์การตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพล ตั้งแต่วันที่ 9 พ.ค.2563 อายุความตามหมาย 15 ปี หรือกว่าจะหมดอายุความก็ต้องปี 2578 จากคดีฉ้อโกงที่เกิดจาก MBI International Holdings ได้ออกแพลตฟอร์มชื่อ NSC แล้วชักชวนให้คนจีนร่วมลงทุนในลักษณะเดียวกับ “แชร์ลูกโซ่” แบ่งสมาชิกออกเป็น 8 ระดับ โดยใช้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรเป็นตัวล่อ แล้วจัดทัวร์พาผู้ร่วมทุนจากจีนไปท่องเที่ยวในอาณาจักรของเครือบริษัทในประเทศต่างๆ แต่ภายหลังทางการมาเลเซียสั่งอายัดทรัพย์ ทำให้ไม่มีเงินไปต่อเงิน จึงเกิดการฟ้องร้องขึ้นนำมาสู่การออกหมายจับแดงดังกล่าว
การทำธุรกิจในนาม MBI International Holdings ในมาเลเซียและจีน หรือบริษัท เอ็มบีไอ กรุ๊ป ในประเทศไทย ล้วนตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน คือ เน้นการเรียกเชิญชวนให้ผู้คนให้มาร่วมลงทุนด้วยจากการสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่แบบครบวงจร ซึ่งต้องใช้ที่ดินนับร้อยนับพันไร่ ภายในโครงการจะประกอบไปด้วยบ้านจัดสรร บ้านพักตากอากาศ โรงแรม รีสอร์ต สวนผลไม้นานาชนิด รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ สนามกีฬา ห้องประชุมและสันทนาการ ลานจัดกิจกรรมขนาดใหญ่ แล้วยังเพิ่มเติมด้วยการสร้างสิ่งดึงดูดใจให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ หรือจุดเช็กอินมากมาย ตามแต่ว่าคนในประเทศที่โครงการตั้งอยู่ชื่นชอบสไตล์ไหน
สำหรับที่เมืองชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่ด่านนอก อ.สะเดา จ.สงขลา บริษัท เอ็มบีไอ กรุ๊ป ได้ลงทุนไปแล้วนับหมื่นล้านบาท ตั้งแต่ทศวรรษที่ 2550 หรือเมื่อ 25 ปีที่ผ่านมา โดยกว้านซื้อที่ดินไว้หลายพันไร่ ภายในโครงการประกอยด้วย โรงแรม 6 แห่ง รีสอร์ต 2 แห่ง อพาร์ตเมนต์ 9 แห่ง สถานบันเทิง สวนสนุก ธุรกิจประเภทเฟอร์นิเจอร์ หมู่บ้านวัฒนธรรมอาเซียน มีการจำลองวัดร่องขุ่น พระพิฆเนศองค์ใหญ่ สวนไดโนเสาร์ เมืองคาวบอย ฟิวเจอร์ปาร์ค ฟาร์มม้า สวนแพนด้า กระทั่งศาลไคฟงก็ยังมี
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้ารายงานไว้ว่า บริษัท เอ็มบีไอ กรุ๊ป สัญชาติมาเลย์เข้ามาจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในไทยครั้งแรกปี 2545 แล้วในปี 2559 ขยับขยายบริษัทในเครือเพิ่มเป็น 15 บริษัท รวมทุนจดทะเบียนได้ 662.5 ล้านบาท แบ่งเป็นใน อ.สะเดา และ อ.นาทวี จ.สงขลา 14 บริษัท และที่กรุงเทพฯ 1 บริษัท เช่น บริษัท บิลเลี่ยนคอนโด จำกัด ทำธุรกิจโรงแรม จดทะเบียน 4 กันยายน 2545 ทุน 51.5 ล้าน นายเตียว วุย ฮวด ถือหุ้น 49% บริษัท เอ็มวัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด โรงแรม จดทะเบียน 18 มกราคม 2551 ทุน 100 ล้าน นายเตียว วุย ฮวด ถือหุ้น 30% บริษัท เค.เอ.ดับเบิลยู. จำกัด โรงแรม จดทะเบียน 30 กันยายน 2551 ทุน 125 ล้าน นายเตียว วุย ฮวด ถือหุ้น 60% บริษัท เอ็มบีไอ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 30% และนายเตียว อี เม้ง 10% (มาเลเซีย) และบริษัท เซาท์เทิร์น เอเซีย จำกัด อสังหาริมทรัพย์ จดทะเบียน 3 ธันวาคม 2558 ทุน 300 ล้าน
ช่วงเวลานั้น “โทนี่ เตียว” ได้เชื่อมสายสัมพันธ์ไปยังผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นอย่างกว้างขวาง “นายกชาย” ผู้ที่เติบโตมากับธุรกิจการค้าชายแดน ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ต่อสายสัมพันธ์กับ “โทนี่ เตียว”
ในส่วนของ "นายกชาย" นั้น เคยเป็นคนสนิทของ "นายจองชัย เที่ยงธรรม" อดีต ส.ส.สุพรรณบุรีและรัฐมนตรีแห่งพรรคชาติไทย เจ้าของสโลแกน “คิดอะไรไม่ออก บอกจองชัย” ถึงขั้นนับญาติเป็นพ่อลูกกันและเรียกติดปากว่า “ป๊ะจองชัย” แถมข้ามจากฝั่งอ่าวไทยไปเชื่อมได้ถึง “กำนันแดง” หรือนายดำรงค์ กิตติธรกุล ผู้กว้างขวางแห่ง จ.กระบี่ นายกชายยังเคยเป็นหัวคะแนนให้นายถาวร เสนเนียม อดีต ส.ส.สงขลา อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
“นายกชาย” เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนท้องถิ่นไว้ครั้งหนึ่งว่า ภายหลังได้สนิทสนมกับนายทุนเจ้าของอาณาจักรเอ็มบีไอมูลค่าหลายพันล้านที่ด่านนอก อ.สะเดา จ.สงขลา เขายังได้ชวนให้ “โทนี่ เตียว” ร่วมหุ้นในธุรกิจสนามวัวชนใหญ่สุดของภาคใต้ด้วย โดยเขาออกสถานที่ ส่วนฝ่ายนักธุรกิจใหญ่มาเลย์ใส่เงินลงทุน
นอกจากนี้ ในงานบวชพระของ “โทนี่ เตียว” พร้อมลูก 8 คน เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2562 ที่วันนาทวี อ.นาทวี จ.สงขลา “นายกชาย” รับเป็นเจ้าภาพให้ ขณะที่วันเปิดศูนย์ประสานงานพรรคประชาธิปัตย์ เขต 6 สงขลา เพื่อรองรับการเลือกตั้งซ่อมที่ “น้ำหอม” ภรรยา “นายกชาย” ลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อช่วงต้นปี 2565 มานี้ ภาพปรากฏชัดเจนว่าสถานที่ตั้งคืออาคารที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเอ็มบีไอ กรุ๊ป และวันนั้น นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ร่วมแสดงความยินดีด้วย ซึ่ง "นายกชาย" ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า เป็นการเข้าไปเช่าอย่างถูกต้อง
เช่นเดียวกับภาพขณะเตรียมงานโคมไฟนานาชาติที่จัดขึ้นที่ เอ็มบีไอ รีสอร์ต ด่านนอก อ.สะเดา “นายกชาย” พร้อมด้วย “น้ำหอม” ภรรยาก็นำกระเช้าไปแสดงความยินดีกับ “โทนี่ เตียว” พร้อมเดินตรวจการเตรียมพื้นที่แบบที่มีคนแต่งชุดข้าราชการรวมกลุ่มอยู่ด้วย
หนึ่งคดีที่น่าสนใจ คือ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2560 พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข อดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด นำหมายศาลไปตามจับตัว “โทนี่ เตียว” ว่ามีพฤติกรรมเข้าข่ายเป็นกลุ่มทุนฟอกเงินให้เครือข่ายยาเสพติด โชคดีที่เจ้าตัวอยู่มาเลเซียทำให้รอดไปได้ แล้วคดีก็เงียบหาย หลังมีข่าวว่า มีนักการเมืองใน จ.สงขลา พาเข้าพบ "บิ๊ก" ที่กรุงเทพฯ
ส่วนความสัมพันธ์ของ "นายกชาย" กับ “บิ๊กโจ๊ก” เป็นเรื่องที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางว่า ทั้งสองคนสนิทสนมกันมาก นอกจากจะมีพื้นเพเป็นคนสงขลาด้วยกันแล้ว หน้าที่การงานก็ทำให้ติดต่อใกล้ชิดกันมานาน แต่นับตั้งแต่ต้นปี 2565 ดูเหมือนว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ จะคอยตามล้างตามเช็ด “นายกชาย” แบบไม่ยอมให้มีช่องโหว่ ที่เห็นกันชัดๆ คือ คดีบุกรุกทำลายโบราณสถานเขาแดงและเขาน้อย จ.สงขลา ที่ผู้ต้องหาหลายคนคือ ญาติสนิทชิดเชื้อกับนายกชาย คดีจับกุมนักธุรกิจสีเทาสัญชาติมาเลเซียครั้งล่าสุดนี้ก็เช่นกัน
ต้องไม่ลืมที่มีข่าวร่ำลือกันว่า “นายกชาย” สมัยยังไม่เป็น "บิ๊กเนม" เคยไปขอพึ่งอำนาจบารมี “ลุงป้อม” แต่เวลานี้เหมือนจะทำตัวไม่เป็นที่ถูกใจลุง ที่ผ่านมานอกจาก “นายกชาย” จะไม่หนุนช่วยพรรคพลังประชารัฐของ “บิ๊กป้อม” แล้ว ยังหันไปยืนฝั่งตรงข้ามแล้วประกาศเดินหน้าปะทะชนกันอย่างเห็นตำตา นับตั้งแต่ในการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2562 ที่สำคัญยังแข่งขันกันดุเดือดเลือดพล่านในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 6 สงขลา ที่ส่งภรรยาลงชิงชัยกับทายาทบ้านใหญ่ของพรรค เรื่องแบบนี้ถือว่าหยามกันแบบยากจะยอมทนได้
มิพักต้องพูดถึงการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วไปที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นาน “นายกชาย” จัดว่าเป็นหนึ่งในขุนพลสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะรองหัวหน้าพรรคที่ดูแลพื้นที่ภาคใต้ ที่จะนำทัพเดินหน้าชนกับพรรคพลังประชารัฐของ “บิ๊กป้อม” ในภาคใต้
ทั้งหมดทั้งปวงนี้หากจะกล่าวว่า คือการหักเหลี่ยมโหดทางการเมือง ซึ่งว่ากันว่ากำลังเล่นกันชนิดหักรากถอนโคนกันเลยทีเดียวใช่หรือไม่ ซึ่งนอกจากในระดับ “ตัวบุคคล” แล้ว ถ้าทำให้ยังผลได้ถึงระดับ “พรรค” ก็นับว่าคุ้มค่าไม่น้อย