xs
xsm
sm
md
lg

2 ข้อสรุปกว่า 18 ปีไฟใต้ระลอกใหม่ที่ “รัฐไทย” เพลี่ยงพล้ำให้ “บีอาร์เอ็น”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ โดย… ไชยยงค์ มณีพิลึก

ถ้าอ่านข่าวคณะพูดคุยสันติสุขฝ่ายรัฐไทยให้สัมภาษณ์สื่อไว้ที่สถานทูตไทย ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย เมื่อวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา จะพบว่า การพูดคุยกับตัวแทนฝ่ายขบวนการบีอาร์เอ็นครั้งที่ 5 ไม่มีอะไรที่ชี้ให้เห็นถึง “ความก้าวหน้า” เกี่ยวกับมาตรการดับไฟใต้เลย ทั้งที่มีการเจรจากันมานานถึง 10 ปีแล้ว

แต่มีเรื่องสำคัญที่ประชาชนคนไทยต้องรับรู้ไว้นั่นคือ ตัวแทนบีอาร์เอ็นขอให้ฝ่ายไทยยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายเพื่อเปิดทางให้ “แกนนำ” ขบวนการเข้ามายังจังหวัดชายแดนภาคใต้พบปะหรือเปิดเวทีร่วมกับภาคประชาสังคม เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชน หรือมวลชนของตนเองในพื้นที่ได้

ก็ไม่รู้ว่าคณะพูดคุยในฐานะตัวแทนรัฐไทยที่มี พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เป็นหัวหน้าคณะ และมี พล.ท.ธิรา แดหวา แม่ทัพน้อยที่ 4 เป็นเลขานุการ ได้ตอบกลับในเรื่องนี้ไปด้วยคำว่า “เยส” หรือ “โน” หรือเป็นคำตอบที่มีนัยอย่างไร

นี่เป็นประเด็นสำคัญและต้องถือว่าล่อแหลมอย่างยิ่ง เพราะนี่คือ “เกมรุก” ของบีอาร์เอ็นที่ต้องการจะเข้ามากระชับความร่วมมือกับ “ภาคประชาสังคม” ใต้ปีกฝ่ายทางการเมืองของขบวนการที่จัดตั้งไว้อย่างได้ผลมาในระดับหนึ่งแล้ว

ต้องไม่ลืมว่าขนาดที่ระดับ “แกนนำ” และ “ผู้นำจิตวิญญาณ” บีอาร์เอ็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ เข้าพื้นที่ชายแดนภาคใต้ การเคลื่อน “งานใต้ดิน” ของขบวนการก็รุกคืบได้มากมายขนาดนี้ ถ้าคณะพูดคุยฝ่ายรัฐไทยรับข้อเสนอดังกล่าว หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบนผืนแผ่นดินปลายด้ามขวานทองตามมา

นี่คืออีก “หมากกล” สำคัญทางการเมืองของฝ่ายบีอาร์เอ็น ซึ่งเป็นไปตามแผนขององค์กรจากชาติตะวันตกที่มี “เจนีวาคอลล์” เป็นหัวขบวนที่ต้องการชัยชนะด้วยงานมวลชน หรือต้องการเห็นการ “ลงประชามติ” ของคนในชายแดนใต้ที่มีชาติพันธุ์มลายูเป็นส่วนใหญ่

นี่คืออีก “ความแยบยล” ของฝ่ายบีอาร์เอ็นในการเดินหน้ากดดันคณะพูดคุยฝ่ายตัวแทนรัฐไทย ซึ่งเวลานี้มองเห็นแต่โลกสวย เนื่องจาก “คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC)” เพิ่งจะนำคณะ “นายพลนอกราชการ” ไปศึกษาดูงานด้านสันติภาพที่กรุงเจนีวา ของสวิตเซอร์แลนด์มาสดๆ ร้อนๆ

อีกเรื่องสำคัญที่คนไทยต้องรับรู้ไว้ บนโต๊ะพูดคุยสันติสุขครั้งนี้มีการต่ออายุให้ ตันสรี อับดุลราฮิม บิน นอร์ ตัวแทนรัฐบาลมาเลเซีย ที่ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกการเจรจา ทำหน้าที่ต่อไปอีก 1 ปี เพราะเห็นว่าได้สร้างผลงานที่ก่อประโยชน์กับรัฐบาลมาเลเซียไว้มากนั่นเอง

นอกจากนี้ ยังมีอีกเรื่องสำคัญมากที่คนไทยต้องรู้ไว้คือ “พูโล 5 G” จะได้สิทธิเข้าร่วมโต๊ะพูดคุยสันติสุขเพื่อเจรจากับรัฐไทยด้วย อันเป็นไปตามความต้องการของ นายคัสตูรี มะห์โกตา ผู้นำขบวนการที่ไม่ใช่แค่ออกมาเรียกร้องไว้ แต่ได้ก่อเหตุวินาศกรรมในชายแดนใต้ไปแล้วหลายครั้งในรอบ 2 ปีที่ผ่าน

ด้านข้อเสนอของฝ่ายรัฐไทยเรื่องสำคัญที่สุดคือ “เข้าพรรษาสันติสุข” หรือให้หยุดก่อเหตุร้ายแบบเดียวกับช่วง “รอมฎอนสันติสุข” ที่ผ่านมา ปรากฏว่าฝ่ายบีอาร์เอ็นบอกปัดขอให้ยกไปพิจารณาบนโต๊ะเจรจาครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นปลายปี 2565 ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าถึงเวลานั้นก็เลยช่วงเข้าพรรษาไปแล้ว

สรุปคือรัฐไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการเจรจาครั้งที่ 5 ที่เพิ่งผ่านพ้นแม้แต่กระผีกริ้น ทว่ากับฝ่ายบีอาร์เอ็นและพูโล รวมถึงรัฐบาลมาเลเซียไม่ว่าจะร้องขออะไรก็ได้กันไปแบบเต็มที่เลยทีเดียว

และคล้อยหลังเจรจาเพียงวันเดียวปรากฏว่า กองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็นสังหารคนไทยพุทธไป 2 ศพ ขณะขับขี่จักรยานยนต์กลับจากล่าสัตว์ในพื้นที่ ต.สุไหงปาดี อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส แถมเมื่อทหารพราน 4811 นำกำลังเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุก็ยังถูกระเบิดถล่มซ้ำ

แล้วยังตามมาด้วยการยิงใส่ขบวนรถเร็วกรุงเทพฯ-สุไหงโก-ลก ในพื้นที่รอยต่อ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาสกับ อ.รามัน จ.ยะลา ซึ่งเหตุการณ์ยิงหรือระเบิดรถไฟเคยเกิดขึ้นก่อนไฟใต้ระลอกใหม่จะปะทุขึ้นเมื่อต้นปี 2547 ด้วยซ้ำ แต่ผ่านมาจะกี่ปีหรือกี่ชาติก็ยังป้องกันไม่ได้

นี่เป็นยุทธวิธีแบบเดิมๆ ที่ฝ่ายบีอาร์เอ็นใช้กับเจ้าหน้าที่มาโดยตลอด แม้เวลานี้ยังใช้ได้ผล จึงเป็นเรื่องที่รัฐไทยต้องทบทวน และหน่วยงานความมั่นคงต้องมียุทธวิธีตอบโต้เพื่อลดความสูญเสีย ซึ่งมีคำถามว่าทำไมจึงป้องกันไม่ได้ ทั้งที่เหนือกว่าทั้งกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์

คงไม่ต้องพูดถึง “แนวร่วมมือใหม่” บีอาร์เอ็นก่อกวนในหลายอำเภอของชายแดนใต้ด้วยการเผายางรถยนต์ กล้องวงจรปิด วางระเบิดปลอม ช่วงครบรอบวันสัญลักษณ์การสถาปนากองกำลังของขบวนการ ซึ่งหน่วยความมั่นคงพยายามทำให้เป็นเรื่องเล็กๆ และไม่รับเป็นคดีด้วย

ก็อย่างที่บอกเล่ามาต่อเนื่องไง ว่าไม่เคยคาดหวังกระบวนการพูดคุย ไม่ว่าจะใช้คำว่า “สันติสุข” หรือ “สันติภาพ” จะทำให้สถานการณ์ไฟใต้ยุติลง แท้จริงการพูดคุยเป็นได้แค่เพียงการ “สร้างภาพ” เพื่อให้กลุ่มคนโลกสวยจำพวกเอ็นจีโอ นักวิชาการ กระทั่งนักสิทธิมนุษยชนได้ชื่นชมบ้างเท่านั้น

ในทางกลับกันยังเป็นการหนุนส่งบีอาร์เอ็นให้เดินหน้าสู่ความสำเร็จอย่างไม่รู้ตัว เพราะเป็นไปตามแผนที่มีชาติตะวันตกหนุนหลังที่ต้องการให้ประเทศไทยต้องถูก “แบ่งแยก” โดยการอ้างเชื้อชาติ ศาสนา และความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของผู้คน เพื่อให้มีการ “กำหนดใจตน” เองตามกฎบัตรสหประชาชาติ

ถ้านำไปเปรียบเทียบกับกรณีที่เป็นข่าวสะท้านโลกไปแล้วคือ จีนแผ่นดินใหญ่ตอบโต้ไต้หวันอย่างหนักเรื่อง “นโยบายจีนเดียว” หลังยินยอมให้ประธานสภาอเมริกันเดินทางไปเยือน แล้วประธานาธิบดีไต้หวันเองก็ให้การต้อนรับออกหน้าออกตาเสียใหญ่โต

แต่ไทยกลับยอมให้องค์กรชาติตะวันตกไม่ว่า “เจนีวาคอลล์” และ “ไอซีอาร์ซี” เข้าพบกับแกนนำได้ทั้งบีอาร์เอ็นและขบวนการอื่นๆ เพื่อวางแผนตั้งประเทศ “ปัตตานีดารุสลาม” ประเด็นนี้ผิดหรือถูกอย่างไร คนไทยต้องหาคำตอบเองว่าสิ่งที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กระทรวงต่างประเทศ (กต.) กองทัพ และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ทำอยู่ในขณะนี้สมควรแล้วหรือไม่

เพราะฉะนั้นสำหรับกระบวนการพูดคุยสันติสุข แม้จะบอกว่าเป็นคนละส่วนกับสถานการณ์ในพื้นที่ แต่ถ้ามองให้ครบทุกมิติย่อมมีความเกี่ยวพันแบบแยกไม่ออก ซึ่งเป็นแผนของบีอาร์เอ็นในการ “รวมกันเดิน” แล้ว “แยกกันตี” จนวันนี้หน่วยความมั่นคงกำลังอยู่ในลักษณะ “ยักตื้นติดกึก ยังลึกติดกัก” เพราะ “เอาไม่อยู่” กับเหตุก่อการร้ายในพื้นที่

สรุปว่านอกจากไม่ได้เปรียบบีอาร์เอ็นในกระบวนการเจรจาบนโต๊ะพูดคุยสันติสุขแล้ว หากยิ่งปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปนานวัน นั่นต้องนับว่ายิ่งทำให้เห็นถึงการเสียเปรียบที่สะสมไว้มากขึ้นเรื่อยๆ

จึงเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อว่ารัฐไทยที่มีความพร้อมทุกอย่าง งบประมาณ กำลังพล อาวุธและเทคโนโลยี แต่เวลานี้กลับเพลี่ยงพล้ำให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนไปแล้ว

สำหรับกองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็นที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า บอกว่า “มีเพียงน้อยนิด” ส่วนคณะพูดคุยสันติสุขที่เปลี่ยนหัวมาแล้ว 4-5 คนก็ยัง “ขี่ม้าเลียบค่าย” จากนั้นให้ทหารเลวออกเวียนวนออกมา “ตีล่อโก๊ะ” แล้วกลับเข้าค่าย “เจี๊ยะจิ้ว” โดยไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นชิ้นเป็นอัน

ทั้งหมดทั้งปวงเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้กับรัฐไทย ซึ่งพ่ายแพ้ให้แก่บีอาร์เอ็นที่มีกองกำลังติดอาวุธเล็กๆ และมีเงินทุนเพียงสี่พันกว่าล้าน แต่ยืนหยัดต่อสู้แบบกองโจรมาได้ถึง 18 ปี นี่ยังไม่ได้ย้อนกลับไปก่อนช่วงปี 2547 ด้วยนะ

พยายามหาคำตอบว่าทำไมรัฐไทยถึงมีความเพลี่ยงพล้ำ หรือการเอาชนะบีอาร์เอ็นไม่ได้ แต่ก็หาคำตอบไม่ได้ว่ามาจากปัจจัยอะไรกันแน่ หรือแท้จริงมีเพียง 2 คำตอบเท่านั้นที่ทำให้ไม่เราชนะคือ ประการหนึ่งเป็นการ “เลี้ยงไข้” และอีกประการหนึ่ง “ไม่มีฝีมือ” หรือไม่มียุทธศาสตร์เพื่อการเอาชนะ

เวลานี้สรุปได้แค่นี้จริงๆ


กำลังโหลดความคิดเห็น