คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
ปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นในพื้นที่บ้านเนินงาม อ.รามัน จ.ยะลา เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นอกจากฝ่ายทหารวิสามัญฯ แนวร่วมไปได้ 2 ศพแล้ว ยังจับกุมตัวเป็นๆ ได้อีก 8 คน ปรากฏว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ได้เพิ่มคำถามสำคัญขึ้นมาอีกประเด็นหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับมาตรการไฟใต้
แน่นอนมีการปะทะแล้วจบลงด้วยแนวร่วมถูกวิสามัญฯ และจับกุมเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือยึดสิ่งของได้จำนวนหนึ่งที่ระบุว่าเป็นของ “กลุ่มพูโล 5G” ที่มีผู้นำชื่อ “คัสตูรี มะโกตา” ผู้พยายามสร้างสถานการณ์เพื่อไม่ให้ตนเองและกลุ่มตกขบวนเจรจาสันติภาพ โดยต้องการขอแทรกไปร่วมโต๊ะเจรจาระหว่างรัฐไทยกับบีอาร์เอ็นด้วย
กลุ่มนี้ได้ก่อเหตุร้ายมาแล้วหลายครั้ง ไม่เว้นแม้ห้วง 40 วันในเดือนรอมฎอนที่รัฐไทยกับบีอาร์เอ็นทำสัญญาหยุดยิงกันไว้ มีการลอบวางระเบิดที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ชาวบ้านดับ 1 ทหารเจ็บ 4 นอกจากทิ้งใบปลิวสัญลักษณ์พูโล 5G ไว้ในที่เกิดเหตุแล้ว นายคัสตูรี ยังตามมาเคลมว่าเป็นฝีมือกลุ่มตน จากนั้นได้ก่อเหตุอีก 2 ครั้งในพื้นที่ จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาส ก่อนที่ทหารจะแกะรอยตามไปตรวจค้นที่บ้านเนินงาม อ.รามัน จ.ยะลา ดังกล่าว
เกี่ยวกับเรื่องนี้ พล.ท.เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4/ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้ออกมายอมรับแล้วว่า ผู้ถูกวิสามัญฯ และจับเป็นได้ทั้งหมดที่บ้านเนินงามเป็นสมาชิกกลุ่มพูโล 5G และจากการสอบสวนผู้รอดชีวิตยอมรับสารภาพว่า กลุ่มพูโล 5G ยังมีความเชื่อมโยงกับขบวนการค้ายาเสพติดในชายแดนใต้ด้วย
โดยข้อเท็จจริงกรณีการฟื้นคืนชีพของกลุ่มพูโล 5G ขึ้นมาก่อเหตุครั้งใหม่ ความเห็นจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะผู้สันทัดกรณีไฟใต้ต่างคลางแคลงใจว่าเป็น “ของจริง” หรือ “ของปลอม” กันแน่ หรือแท้จริงแล้วเป็นฝีมือของแนวร่วมบีอาร์เอ็นเสียเอง ด้วยต้องการให้บรรลุผลประโยชน์บ่างอย่าง แล้วโยนบาปให้กลุ่มอื่นๆ
เพราะวิธีการก่อเหตุเป็นแบบเดียวกับที่แนวร่วมบีอาร์เอ็นทำมาตลอด ยกเว้นการทิ้งสัญลักษณ์ของกลุ่มพูโล 5G ไว้ในที่ก่อเหตุเท่านั้นที่แตกต่างไป
นอกจากนี้ในหมู่ “นักการข่าว” ฝ่ายความมั่นคงรู้เช่นเห็นชาติในตัวตนของนายคัสตูรีเป็นอย่างดีว่า ใช้ชีวิตในต่างประเทศแบบไม่มีเงินทุนอะไรถืออยู่ในมือ จึงไม่มีทางไปสนับสนุนกองกำลังติดอาวุธใดๆ ให้ก่อการร้าย หรือกระทั่งจ้างใครให้ทำปฏิบัติการไอโอได้ เพียงแต่มีเอ็นจีโอตะวันตกองค์กรหนึ่งหนุนหลังอยู่เท่านั้น
แต่เมื่อ พล.ท.เกรียงไกร ระบุด้วยตนเองว่า ปฏิบัติการของกองกำลังพูโลมีอยู่จริง เราก็ต้องให้เกียรติโดยการ “เชื่อไว้ก่อน” จนกว่าจะมีหลักฐานมาหักล้าง ขณะเดียวกัน นั่นก็เท่ากับว่าผู้ก่อไฟใต้ ณ วันนี้ นอกจากทางการจะยอมรับว่ามีขบวนการบีอาร์เอ็นแล้ว ยังมีต้องเพิ่มชื่อพูโล 5G เข้าไปอีกขบวนการหนึ่งด้วยใช่หรือไม่
ถ้าใช่! นั่นก็แสดงว่านับแต่นี้ไปสถานการณ์การก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ “ขยายวง” หรือมีการก่อเหตุที่ถี่ๆ ขึ้นอีกคราครั้งแล้วใช่หรือไม่ เพราะนอกจากฝีมือบีอาร์เอ็นแล้ว ยังมีการผสมโรงจากพูโลอีกด้วย
ที่ผ่านมากว่า 18 ปีไฟใต้ระลอกใหม่ แค่บีอาร์เอ็นกลุ่มเดียว หน่วยงานความมั่นคงต้องต่อสู้ทั้งทางยุทธวิธีและทางการเมืองในแบบที่แทบจะมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่นี่ยังเพิ่มกลุ่มพูโล 5G เข้ามาอีก นับจากนี้ไฟใต้จะยิ่งคุโชนเปลวรุนแรงมากขึ้นหรือไม่
ที่สำคัญ “งบประมาณแผ่นดิน” ที่จะถูกส่งผ่าน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องเพิ่มมากขึ้นไปด้วยใช่หรือไม่ เพราะรัฐไทยมีศัตรูเพิ่มมาอีก 1 ขบวนการแล้ว ที่สำคัญในอนาคตจะมีกลุ่มแบ่งแยกดินแดนอื่นๆ ที่ฝังตัวอยู่ในมาเลเซียลุกออกมาเคลื่อนไหวแบบเดียวกันไหม เช่น “พูโลคัสดาน” ของ “ซำซูดิง คาน” เป็นต้น
เป็นที่ทราบกันว่าเวลานี้ยังมีผู้นำกลุ่มแบ่งแยกดินแดนอื่นๆ ที่ต้องการเข้าร่วมเจรจาอีกมากมาย โดยเฉพาะพวกเขาอยากได้นั่งโต๊ะเคียงบ่าเคียงไหล่กับตัวแทนบีอาร์เอ็นเข้าเจรจากับตัวแทนรัฐไทยครั้งต่อไปเลย ซึ่งมีกำหนดการจะจัดขึ้นที่มาเลเซียราววันที่ 1-2 สิงหาคม 2565
หรือว่าสุดท้ายแล้วเวทีเจรจาเพื่อ “ยุติสงคราม” อาจจะกลายเป็น “จุดชนวนสงคราม” ระลอกใหม่เสียเอง เพื่อให้กลุ่มแบ่งแยกดินแดนต่างๆ ได้ฟื้นคืนชีพและตั้งกลุ่มติดอาวุธขึ้นมาใหม่ แล้วต่างรุมปฏิบัติการสร้างความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์คนไทย จนรัฐไทยต้องยอมส่งเทียบเชิญให้เข้าร่วมโต๊ะเจรจาอย่างนั้นหรือ
หากเป็นเช่นนั้นสถานการณ์ไฟใต้จะยิ่งยุ่งเหยิงและลากยาวต่อไปแบบไม่เห็นจุดจบ สุดท้ายแล้วการเจรจาอาจจะไม่ใช่ทางออกที่จะใช้ดับไฟใต้ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นแผนที่มีผู้กำหนดให้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือมี “เงาทะมึนอยู่เบื้องหลัง” ในการกำหนดวาระความเป็นไปเช่นนี้
ที่กล่าวเช่นนี้เนื่องจากมีข้อมูลที่เชื่อถือได้ชี้ชัดว่า ในขณะที่รัฐไทยเดินหน้ากระบวนการเจรจาสันติภาพกับบีอาร์เอ็น ภายใต้บงการของ “มาเลเซีย” และ “องค์กรชาติตะวันตก” ในต่างประเทศเวลานี้ ในพื้นที่ชายแดนใต้เองบีอาร์เอ็นก็ยังเดินหน้าจัดตั้งมวลชนต่อเนื่องในทุกมิติ อันเป็นไปตามยุทธศาสตร์แบ่งแยกดินแดนที่วางไว้
เวลานี้ “สภาอูลามา” ที่มี “ดุลเลาะ แวมะนอ” อดีตผู้นำกองกำลังบีอาร์เอ็นมานั่งหัวโต๊ะ เชื่อไหมว่า “บ่มเพาะ” มวลชนรุ่นใหม่จัดตั้งเป็น “หน่วยเปอร์กาเด” ได้เพิ่มจำนวนขึ้นในอัตราที่ต้องจับตาใกล้ชิด กล่าวคือ จากที่เคยทำได้หลักร้อย ตอนนี้พุ่งขึ้นเป็นหลักพัน โดยส่งไปปฏิบัติการได้ทั้งงานการเมืองและการทหาร
เวลานี้มีการประมาณการกันว่า สมาชิกหน่วยเปอร์กาเดที่เป็น “เยาวชนชาย” กว่า 500 คน “เยาวชนหญิง” กว่า 400 คน และยังมี “หญิงหม้าย” ร่วมด้วยกว่า 200 คน ซึ่งทั้งหมดถือเป็นกำลังขับเคลื่อนเพื่อขยายสมาชิกต่อไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ก็เพื่อเตรียมการลุกฮือการเรียกร้องสิทธิด้านการปกครองในอีกไม่นาน
นอกจากนี้ ยังมีความเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกประการคือ มีการเก็บเรียกเงินจากสมาชิกขบวนการเพิ่มวันละ 1 บาท เป็น 2 บาท และจากการทำซุมเปาะแบบเดี่ยว ก็เปลี่ยนเป็นทำรวมกัน หรือสังเกตได้จากการรวมตัวของเยาวชนคราวละมากๆ เช่น ประกาศวันเยาวชนแห่งชาติปัตตานี แน่นอนด้านหนึ่งคือเรื่องการแสดงอัตลักษณ์ แต่อีกด้านหนึ่งมีการทิ้งร่องรอยให้สืบค้นได้ว่าเชื่อมโยงกับใคร และองค์กรใด
สังเกตไหมว่าทำไมภาคประชาสังคมใต้ปีกบีอาร์เอ็นจึงเรียกเหตุก่อการร้ายว่าเป็นการ “ขัดกันด้วยอาวุธ” เรียกกระบวนการพูดคุยสันติสุขว่าเป็นการ “เจรจาสันติภาพ” เรียกคู่เจรจาว่าเป็น “คู่สงคราม” และเรียกร้องให้มีการ “กำหนดใจตนเอง” ของชาวมลายูในชายแดนใต้
ทั้งหมดคือร่องรอยที่ชัดเจนว่าบีอาร์เอ็นต้องการอะไร โดยเฉพาะ “มาเลเซีย” ต้องการเห็นอะไร และ “องค์กรชาติตะวันตก” ทำไมต้องส่งคนเข้ามาปักหลักในชายแดนใต้แบบฝังราก ทั้งที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้แถลงซ้ำไปหลายครั้งแล้วว่าไฟใต้สงบแล้ว
ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าไฟใต้สงบจริง ทำไมหน่วยงานและองค์กรต่างๆ จึงยังปฏิบัติการกันอย่างเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับ “สภาอูลามา” ของบีอาร์เอ็นที่ในเวลานี้มี “ดุลเลาะ แวมะนอ” นั่งเป็นผู้นำอยู่
ความจริงแล้วที่เขียนมาทั้งหมดนี้ก็ตั้งคำถามไปอย่างนั้นแหละ เพราะเชื่อว่าสุดท้ายคงไม่มีคำตอบอะไรเลย จากทั้งหน่วยงานความมั่นคงในชายแดนใต้ และจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ด้วยเช่นกัน
เนื่องเพราะ 1.อาจจะไม่รู้ ไม่สนใจ ไม่มีข้อมูล และ 2.สมช.ถูกสั่งให้ไปทำหน้าที่แก้ปัญหาน้ำมันแพงตามคำสั่งนายกฯ จึงไม่มีเวลาหรือหันมาสนใจแก้ปัญหาความมั่นคงที่ชายแดนใต้
ด้าน “กองทัพ” เองก็กำลังยุ่งเหยิงอยู่กับการจัดสรรตำแหน่งใหม่ ใครจะได้เป็น “แม่ทัพใหญ่” แล้วใครจะเป็น “แม่ทัพน้อย” ในกองทัพภาคที่ 4 ในการโยกย้ายแต่งตั้งที่งวดเข้ามาแล้ว
และที่สำคัญในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เองก็ยิ่งยุ่งเหยิงไปใหญ่ เพราะมีขบวนการแบ่งแยกดินแดนฟื้นคืนชีพและกลับมาจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธได้ นั่นหมายถึง “งบประมาณ” ที่นอกจากจะไม่ถูกลดทอนแล้ว ยังมีแต่จะถูกเติมเข้ามาเยอะขึ้นตามภารกิจที่เพิ่มขึ้นมาอีกด้วย