พังงา - โซเชียลดรามา แห่ค้านวัดประชุมโยธี รื้อบ้าน “เจ้าจอมยี่สุ่น” สร้างสมัยรัชกาลที่ 3 ด้านเจ้าอาวาสระบุเป็นการเข้าใจผิด แค่ทางวัดประกอบพิธีสวดถอนในพื้นที่เตรียมพัฒนา ส่วนบ้านถ้าทุกคนเห็นว่าสมควรอนุรักษ์ก็มาช่วยกัน
จากเหตุการณ์ที่ นายชัยณรงค์ ณ นคร เลขานุการกองทุนสามพระยาบริรักษ์ภูธร (อดีตเจ้าเมืองพังงา) ได้โพสต์ภาพเรือนโบราณ อายุกว่า 100 ปี ที่ตั้งอยู่ภายในพื้นที่วัดประชุมโยธี พระอารามหลวง ลงเฟซบุ๊ก พร้อมกับบรรยาย ว่า “ความหดหู่ในหัวใจ ขึ้นไปบนเรือนของอดีตท่านคุณทวด ท่านเจ้าคุณ อ้น ณ ถลาง ที่เป็นผู้สืบทอดมรดกมาจากเจ้าจอมยี่สุ่น เคยเป็นเจ้าเมืองภูเก็ต เป็นผู้ที่พระมหากษัตริย์ทรงยกย่อง ชมเชย เป็นผู้ที่มีพระคุณต่อวัดประชุมโยธี ได้ถวายพระพุทธรูปรุ่นเชียงแสน อายุราว 1,000 ปี ให้แก่วัดประชุมโยธี ตั้งชื่อพระพุทธรูปว่า "พระพุทธมงคลสำริดศากยมุนีศรีพังงา" เป็นพระประจำจังหวัดพังงา เป็นผู้อุปถัมภ์มาชั่วสายสกุล และสร้างวัดแห่งนี้ #เรือนหลังนี้ก็เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนหลายร้อยคน ที่ได้มาพักอาศัยเรือนแห่งนี้ อีกไม่นาน คำพูดของท่านเจ้าคุณอ้น ที่กล่าวว่า ห้ามขาย อย่าทุบเรือน เก็บไว้ให้ลูกหลานได้อาศัย จะเป็นจริงหรือไม่ รอผลตอบกลับในไม่ช้า”
พร้อมบอกเล่าว่า “เรือนหลังนี้มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ผ่านถึงรัชกาลที่ 5 กล่าวกันว่า เป็นเรือนของท่านเจ้าจอมยี่สุ่น พระสนมในรัชกาลที่ 3 และเจ้าจอมเป้า ผู้เป็นน้องสาว เป็นพระสนมรัชกาลที่ 4 และท่านทั้ง 2 เป็นผู้ร่วมกันสร้างวัดควน หรือวัดประชุมโยธี พระอารามหลวงในปัจจุบัน หลายคนที่ไม่ทราบเรื่องราวของเรือนหลังนี้ ทำการลบหลู่ ปรากฏว่าเจอดีทุกราย แต่ถ้าเขารื้อได้สำเร็จ ก็ถือว่าเป็นความประสงค์ของเจ้าเรือน แต่เมื่อขณะที่รื้อมีอาเพศก็รับกรรมกันเอาเอง”
ทำให้มีการแชร์ออกไปเป็นจำนวนมากทั้งในสื่อออนไลน์ต่างๆ และประชาชนทั่วไป พร้อมกับแสดงความคิดเห็นว่าไม่เห็นด้วยหากวัดจะทำการรื้อถอน บางคนบอกว่าเป็นวิศวกรพร้อมจะเข้ามาช่วยเหลือซ่อมแซม บางคนบอกว่าพร้อมจะสมทบทุนบุรณะซ่อมแซม เรียกว่าเป็นประเด็นดรามากันในพื้นที่จังหวัดพังงา และภูเก็ตในช่วงนี้
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้เข้าไปตรวจสอบเรือนโบราณหลังนี้ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านข้างวัดประชุมโยธี พระอารามหลวง เขตเทศบาลเมืองพังงา ซึ่งทางวัดได้จัดซื้อที่ดินแปลงนี้มาจากภาคเอกชน พบว่า มีสภาพเป็นบ้านร้าง ลักษณะ 2 ชั้น ครึ่งปูนครึ่งไม้ มีบันไดขึ้นชั้นบนทั้งซ้ายขวา มีสภาพชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมาก ทางวัดได้ติดป้ายชำรุด ห้ามเข้าภายในตัวบ้าน ขณะที่พบว่ามีคนเข้ามาเยี่ยมชมถ่ายภาพกันเป็นระยะ และบอกว่าอยากให้อนุรักษ์เรือนโบราณหลังนี้เอาไว้ จะเสียดายมากหากมีการรื้อถอนออกไป
นายชัยณรงค์ ณ นคร เลขานุการกองทุนสามพระยาบริรักษ์ภูธร (อดีตเจ้าเมืองพังงา) เปิดเผยว่า เรือนโบราณหลังนี้เป็นของเจ้าจอมยี่สุ่น สมัยที่พระยาบริรักษ์ภูธรแสง มาปกครองเมืองพังงา จากนั้นตกทอดมรดกมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลานรุ่นเหลน จากการศึกษาดูข้อมูลแล้ว บ้านหลังนี้มีอายุถึงเกือบ 200 ปี เมื่อได้ข่าวว่าทางวัดประชุมโยธี จะมีการรื้อถอน เห็นว่าเรือนหลังนี้เป็นแหล่งโบราณสถานแห่งหนึ่งที่มีอายุยาวนาน การที่จะรื้อถอนโบราณสถานที่มีอายุมากกว่า 50 ปีนั้น จะต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน
ส่วนตัวเห็นว่าบ้านนี้เป็นบ้านที่มีความผูกพันกับคนพังงาจำนวนมาก เป็นบ้านที่มีความหมายต่อเมืองพังงา บ่งบอกถึงรากเหง้าของเมืองพังงาได้ดีที่สุด จึงอยากให้ชาวพังงาเห็นคุณค่าของความเป็นอัตลักษณ์เป็นรากเหง้าของเมือง เลยอยากจะบอกพี่น้องชาวพังงา หรือว่าผู้ที่รักในเรื่องของสถาปัตยกรรมมาร่วมกันที่จะให้เรือนหลังนี้อยู่นานเท่านานได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดพังงา
ด้านพระเทพปัญญาโมลี เจ้าอาวาสวัดประชุมโยธี พระอารามหลวง กล่าวว่า ขอยืนยันว่ายังไม่มีการรื้อถอนในขณะนี้ โดยข้อเท็จจริงเรื่องนี้ทางวัดประชุมโยธี ได้ขยายพื้นที่โดยซื้อที่ดินเอกชนแปลงหนึ่งซึ่งเป็นที่ของตระกูล ณ ถลาง โดยในพื้นที่แปลงนี้มีบ้านเก่าอยู่หลังหนึ่ง ทางวัดได้พัฒนาสร้างเสนาสนะบางอย่างได้สร้างไปเกือบแล้วเสร็จแล้ว และจะพัฒนาพื้นที่เพื่อเตรียมจัดสร้างเสนาสนะส่วนอื่นเพิ่มเติม
ในวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีการประชุมคณะสงฆ์สัญจรของจังหวัดพังงา ได้มีการทำพิธีสวดถอนพื้นที่ เพื่อว่าในพื้นที่ที่วัดซื้อมาในอดีตอาจจะมีอุโบสถเก่าหรือเจดีย์เก่าอยู่ จึงได้ทำพิธีสวดถอน ซึ่งบ้านหลังนี้อยู่ในพื้นที่นี้ด้วย และเมื่อมีการสวดถอนก็ถือว่าเราได้ทำถูกต้องแล้วเราจะสร้างเสนาสนะอย่างอื่น ทำอย่างอื่นก็ทำได้โดยโดยกลัวว่าสิ่งที่ทำต่อไปในอนาคตอาจจะผิดพระวินัย เลยเป็นประเด็นว่าเมื่อทำพิธีสวดถอนคนไปแปลผิดว่าพระจะทำการรื้อถอนบ้านหลังนี้
ซึ่งความจริงแล้วการจะรื้อถอนบ้านหลังนี้ถ้าถามว่ามันก็มีสิทธิทำได้ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่วัดอาจจะต้องพัฒนา แต่โดยความเป็นจริงไม่ใช่ เพราะว่าจะต้องดูองค์ประกอบว่าบ้านหลังนี้เป็นอย่างไร โดยช่างผู้ชำนาญการ ทางวัดได้ประสานทางโยธาธิการและผังเมืองเข้ามาตรวจสอบดูแล้วว่าโครงสร้างของบ้านยังมีความแข็งแรงพอที่จะรองรับทำการบูรณะได้ไหม ถ้าหากทำได้ที่จะต้องช่วยกันว่าการซ่อมใครเป็นผู้รับผิดชอบ มีเงินทุนหรืองบประมาณส่วนไหนอย่างไร
ทางกรมศิลปากร โดยผู้อำนวยการนครศรีธรรมราช ได้เคยเข้ามาตรวจสอบแล้วบอกว่าจะต้องใช้งบบูรณะไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งเกินกำลังของวัดที่จะบูรณะซ่อมแซม ถ้าหากว่าหาญาติโยมท่านใดเห็นควรที่จะอนุรักษ์เหมือนที่กล่าวในโซเชียลขอให้เข้ามามีส่วนร่วมช่วยกันสละทรัพย์เพราะว่างบประมาณคงไม่น้อย บางคนที่บอกว่ามีวิศวกรรับรองไม่กี่ตังค์ ก็ให้เข้ามาช่วยกันได้เลย และทราบว่าทางจังหวัดพังงาได้ตั้งคณะกรรมการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว