ตรัง - ออกมาโต้แล้ว หลัง “สมชาย” พ่อ ส.ส.เขต 3 ปชป. จัดรวมพลหนุนว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พปชร.ลง เขต 2 ชน “สาทิตย์” ด้าน “สาธร วงศ์หนองเตย” ลั่นไม่หวั่นถูกรุมกินโต๊ะ แต่ห่วงสมาชิกพรรคสับสนอุดมการณ์ ย้อนกลับการเมืองเป็นเรื่องของคนมีวุฒิภาวะ
จากกรณีการจัดงาน “คนรักทวี” ที่ตลาดรัษฎาพลาซ่า เขตเทศบาลตำบลคลองปาง อ.รัษฎา จ.ตรัง โดยมี นายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ อดีต ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพ่อของ น.ส.สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ ส.ส.ตรังเขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ เป็นแม่งาน รวมทั้ง ส.อบจ.อ.รัษฎา และผู้นำในพื้นที่ ร่วมกันจัดเวทีรวมพลคนรักทวี ให้แก่ นายทวี สุระบาล กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เขต 2 จ.ตรัง ซึ่งจะลงชิงเก้าอี้กับ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรังเขต 2 หลายสมัย พรรคประชาธิปัตย์ โดยมีการจัดเลี้ยงน้ำชา กาแฟ ขนมจีน และหมูย่างอย่างเต็มที่ ซึ่งมีบรรดาผู้ที่รักเคารพ และชื่นชอบ นายทวี และเครือข่ายทางการเมืองของนายสมชาย ทั้งในพื้นที่ อ.รัษฎา และต่างอำเภอมาร่วมกิจกรรมจำนวนมาก ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด ฝ่ายของ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรังเขต 2 พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในสมัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดย นายสาธร วงศ์หนองเตย อดีตผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง (อบจ.ตรัง) น้องชาย นายสาทิตย์ กล่าวถึงกรณีความเคลื่อนไหวของ นายสมชาย ที่ออกมาสนับสนุน นายทวี ซึ่งอยู่ต่างพรรค ว่า จิตวิญญาณและอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์นั้นให้คุณค่ากับคำว่าประชาธิปไตยสุจริต ดังนั้นเมื่อเราประกาศต่อสู้ตามวิถีทางประชาธิปไตย เราก็สู้เต็มที่เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจ ก็สู้กันในสนามไม่ได้เกรงกลัวศักดิ์ศรีของใคร และต้องทำตามกฎหมายเลือกตั้งโดยเคร่งครัดทุกอย่าง
เราไม่ได้ใช้อารมณ์ที่จะเอาแพ้เอาชนะ แต่เราใช้สิทธิในกระบวนการยุติธรรม อย่างในการเลือกตั้ง อบจ.ตรัง ที่ผ่านมา ซึ่งคนอาจมองว่าเป็นการสู้กันระหว่างตระกูลวงศ์หนองเตย กับตระกูลโล่สถาพรพิพิธ ก็มองได้ แต่จะเห็นได้ว่าตรังเป็นเพียงจังหวัดเดียวที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดซื้อเสียงเลือกตั้งได้ ตนต้องนำประเด็นนี้ไปให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วินิจฉัยว่า มันมีความเชื่อมโยงไปถึงผู้สนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังหรือไม่ และมันเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้ใช้อารมณ์อะไร
นายสาธร กล่าวอีกว่า กรณีการรวมพลของ นายสมชาย ที่เกิดขึ้น ใครจะมาเชื่อมโยงว่าเป็นผลมาจากการเลือกตั้ง อบจ.ตรังที่ผ่านมาก็เป็นสิทธิของเขา แต่ในกระบวนการประชาธิปไตย ประชาชนมีสิทธิ มีทางเลือก ดังนั้น ถ้าคนที่จะมาเล่นการเมืองตามวิถีทางประชาธิปไตยต้องไม่ยึดติดกับอดีต ไม่นั้นต่อไปใครจะมาลง ส.ส. คิดติดใจในเรื่องเก่าๆ แล้วตั้งใจเชื่อมโยงกันไปหมด แล้วเอามาทะเลาะกัน แบบนั้นมันไม่ใช่ประชาธิปไตยแล้ว
ส่วนที่ นายสมชาย ซึ่งถือเป็นคนประชาธิปัตย์มาตลอดชีวิตนั้น แล้วไปประกาศสนับสนุนอีกพรรคการเมืองหนึ่ง ตนโดยส่วนตัวที่ทำงานการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์มาตั้งแต่ปี 2526 ไปขึ้นเวทีปราศรัย ได้เป็นผู้ช่วย ส.ส.ของ นายชวน หลีกภัย ซึ่งเปิดตำแหน่งดังกล่าวเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2529 ตนจึงมองว่า ด้วยความเป็นสถาบันการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งทำงานและมองถึงประโยชน์ของพี่น้องประชาชน
ตนกับนายสาทิตย์ ทำงานการเมืองในพื้นที่ตรังเขตเลือกตั้งที่ 2 มายาวนาน นายสาทิตย์เป็น ส.ส. ตนเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว ส.ส. เราทำงานการเมืองด้วยอุดมการณ์ ด้วยความศรัทธาเชื่อมั่น แก้ปัญหาให้ประชาชน อย่างเรื่องปัญหาที่ดินทำกินที่เรื้อรังมายาวนาน เพื่อสร้างความมั่นคงให้ชาวบ้าน เราเดินหน้าภารกิจของคนเป็น ส.ส. เป็นผู้แทนประชาชน จะเห็นได้ว่าในช่วง 2 ปีเศษของสถานการณ์โควิด-19 นายสาทิตย์ เองได้ทำกิจกรรมช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่มาโดยตลอด โดยเฉพาะโครงการพาคนกลับบ้านในช่วงแรกๆ ที่โรงพยาบาลใน กทม.เต็ม ทำให้คนตรังในต่างจังหวัดไม่ได้รับการรักษา การแจกถุงยังชีพเพราะเมื่อถูกกักตัวถึง 14 วัน แล้วจะเอาอะไรกิน เราคิดถึงสิ่งที่ประชาชนควรได้รับในยุควิกฤต
บุคคลใดก็ตามหากจะมามีบทบาทในสถาบันการเมือง มันจะต้องมี Maturity หรือ วุฒิภาวะเพียงพอ ต้องคำนึงถึงอุดมการณ์ของตัวเอง ถ้าไม่คำนึงถึงอุดมการณ์ของตัวเอง ก็ต้องคำนึงถึงอุดมการณ์ของพรรคการเมืองที่ตัวเองสังกัดอยู่ สำคัญที่สุดคือต้องคำนึงถึงสมาชิกพรรค และประชาชนที่เข้าร่วมอุดมการณ์ ในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ของ นายสมชาย ซึ่งเป็นพ่อของ น.ส.สุณัฐชา ซึ่งลูกสาวเป็นถึงกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนี้ ความเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ ผมกังวลว่าจะมีผลต่อความเชื่อมั่นต่ออุดมการณ์พรรคประชาธิปัตย์ และอุดมการณ์ของตัวผู้เป็น ส.ส.เอง
“ถามว่า นายสาทิตย์ กังวลหรือไม่ที่ นายสมชาย ไปประกาศเชียร์ นายทวี ซึ่งอยู่คนละพรรคและเป็นพรรคคู่แข่งของประชาธิปัตย์ ขอตอบว่า ไม่กังวลในเรื่องฐานคะแนน เพราะหนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว แม้จะเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนมีสิทธิจะเชียร์หรือสนับสนุนใคร แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ทำกัน คือ การไม่มีวุฒิภาวะทางการเมือง เช่น ถ้าสังกัดอยู่ในพรรคการเมืองเดียวกัน คนที่มีวุฒิภาวะจะไม่ทำ แล้วเรื่องการเมืองมันไม่ใช่เรื่องนักเลง ที่ถ้ากูไม่ถูกใจแล้วจะยกพวกไปตีกัน ใครจะทำอย่างไรก็แล้วแต่เราถือว่าขึ้นกับวุฒิภาวะของแต่ละคน เพราะเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว ไม่มีใครไปห้ามใครได้” นายสาธร กล่าว
นายสาธร กล่าวอีกว่า นายสาทิตย์ เป็น ส.ส.มา 27 ปี เราเคยต่อสู้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจากพรรคไทยรักไทย ในยุคที่ นายทวี สุระบาล ย้ายจากพรรคประชาธิปัตย์ไปอยู่พรรคไทยรักไทยในตอนนั้น ตอนนั้นเป็นช่วงที่เราถือว่าหนักที่สุดแล้ว ตอนนั้น นายทักษิณ ถึงกับเดินทางมา จ.ตรัง ประกาศจะสับหมูย่างเมืองตรัง พูดถึงขนาดว่า สับหมูย่างเมืองตรังนั้นง่ายกว่าที่คิด การเลือกตั้งครั้งนั้นจึงหนักที่สุดแล้ว แต่พี่น้องประชาชนในเขต 2 ยังเชื่อมั่นในตัวพรรคประชาธิปัตย์และตัว นายสาทิตย์ โดยเฉพาะตัว นายชวน หลีกภัย
“ถามว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดข้างหน้าเรากังวลไหม ขอตอบว่าเรามีประสบการณ์จากครั้งนั้นที่ นายทวี ย้ายจากพรรคประชาธิปัตย์ ทิ้งพรรคไปอยู่พรรคไทยรักไทย ในช่วงนั้นที่กระแสพรรคไทยรักไทยแรงที่สุด เราจึงไม่กังวลอะไรเลยในเรื่องนี้ เพราะพรรคการเมืองไม่ใช่เรื่องของแก๊งสเตอร์ เพราะกำกับด้วยแนวคิดและอุดมการณ์ และการกระทำที่ขาดซึ่งวุฒิภาวะจะกระทบต่อผู้นั้นและกลุ่มของเขาเอง” นายสาธรกล่าว