xs
xsm
sm
md
lg

ทนายดังยื่น ป.ป.ช.สอบ “ซุ้มประตู” มูลนิธิฯ ตรังสร้างผิดแบบ ไม่มีระยะถอยร่นจากแนวคลอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ตรัง - “ชวน หลีกภัย” เปิดอาคารบำเพ็ญบุญ-ซุ้มประตูมังกร มูลนิธิกุศลสถานตรัง หันหลังไม่ยอมถ่ายภาพหมู่หน้าซุ้ม ด้าน “ทนายหมีนครตรัง” ยื่น ป.ป.ช.สอบซุ้มประตูสร้างผิดแบบ ไม่มีระยะถอยร่นจากแนวคลอง ทน.ตรังสั่งเคยรื้อถอน-ระงับใช้อาคาร อึ้ง! ส่อปลอมเอกสารเลขรับ

เมื่อเร็วๆ นี้ มูลนิธิกุศลสถานตรัง (บ้วนเต็กเชี่ยงตึ๊ง) ริมคลองห้วยยาง ภายในเขตเทศบาลนครตรัง ถนนวิเศษกุล ต.ทับเที่ยง อ.เมือง จ.ตรัง นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารบำเพ็ญบุญ และซุ้มประตูมังกรสวรรค์ เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 60 ปี มูลนิธิกุศลสถานตรัง (บ้วนเต็กเชี่ยงตึ๊ง) โดยมี นายขจรศักดิ์ เจริญโสภา ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง นายอู๋ ตงเหมย กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำจังหวัดสงขลา น.ส.สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ พล.ต.ต.สันทัด วินสน ผบก.ภ.จว.ตรัง นายสัญญา ศรีวิเชียร นายกเทศมนตรีนครตรัง พร้อมคณะผู้บริหารเทศบาล หัวหน้าส่วนราชการ ภาคธุรกิจ และประชาชนชาว จ.ตรัง เข้าร่วมอย่างคับคั่งนับพันคน โดยมี นายชาญชัย สารสินพิทักษ์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ เป็นผู้กล่าวรายงานในพิธี มีนายสุนทร เชาน์กิจค้า รองประธานกรรมการมูลนิธิฯ ตลอดจนคณะกรรมการมูลนิธิฯ เป็นตัวแทนร่วมพิธี

ทั้งนี้ มูลนิธิกุศลสถานตรัง (บ้วนเต็กเซี่ยงตึ๊ง) ก่อตั้งจากการรวมตัวกันของชาวไทยเชื้อสายจีนที่อาศัยอยู่ที่ จ.ตรัง เมื่อกว่า 60 ปีก่อน เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาความเดือดร้อน เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้บ้านเรือน และแหล่งชุมชน เพื่อเป็นการช่วยให้ชาวบ้านมีจุดศูนย์รวม เมื่อการรวมตัวกันมีความเข้มแข็ง ต่อมาจึงมีการจัดตั้งเป็นมูลนิกุศลสถานตรัง เป็นงานจิตอาสามากว่า 60 ปี ปัจจุบันถือเป็นทีมกู้ชีพกู้ภัยที่มีศักยภาพระดับแถวหน้าของภาคใต้ ทางมูลนิธิฯ จึงมีการขยับขยายที่ทำการ ตลอดจนถนนทางออกสู่ถนนวิเศษกุล ที่กว้างขวางกว่าเดิมซึ่งเป็นซอยแคบด้านถนนพัทลุง ไม่สะดวกหากเกิดเหตุฉุกเฉิน โดยมีการใช้เงินบริจาคกว่า 28 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อที่ดินเอกชนซึ่งเป็นอาคารภัตตาคารเก่า ปรับปรุงเพื่อสร้างทางเข้าใหม่เป็นซุ้มประตูแบบจีนโอ่อ่า ให้ชื่อว่า “ประตูมังกรสวรรค์” มีภาพจิตรกรรมจีน ประดับตกแต่งไฟสวยงาม มีประชาชนชาวตรังให้ความสนใจไปถ่ายภาพกันอย่างต่อเนื่อง ด้วยงบกว่า 3 ล้านบาท และนำสู่การส่งมอบให้เป็นทรัพย์สินของเทศบาลนครตรัง เพื่อเปิดให้มีการใช้งานสาธารณะ เนื่องจากสามารถใช้เป็นทางลัดจากถนนวิเศษกุล สู่ถนนพัทลุง บริเวณหน้าศาลากลางจังวัดตรังได้

นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า มูลนิธิกุศลสถานซึ่งมีกระจายอยู่ใน 14 จังหวัดภาคใต้ มีผู้บริหารที่มีจิตอาสา ทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน ตนขอชื่นชม ตนขอพูดถึงสิ่งก่อสร้างทั้ง 2 อย่างนี้ ส่วนแรกคืออาคารบำเพ็ญบุญ ใช้เป็นที่ทำกิจกรรมเพื่อประโยชน์แก่ชาวตรัง และประชาชนโดยทั่วไป เห็นได้ชัดว่าช่วงเกิดโควิด-19 อย่างรุนแรง สถานที่นี้ได้ใช้เป็นที่สำหรับฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ในยามปกติใช้เป็นที่อบรม เรียนรู้ พัฒนาบุคลากรกู้ชีพ และใช้เป็นพื้นที่แจกถุงยังชีพยามมีภัยทั้งหลาย

“ส่วนที่ 2 เป็นซุ้มประตูมังกรสวรรค์ สร้างด้วยความละเอียดงดงาม มีภาพวาด 24 กตัญญูตามตำนานของจีน ความกตัญญู 24 เรื่องที่ว่าเป็นความกตัญญูสูงสุด คาดหมายว่าในอนาคตผู้ที่สนใจเรื่องประเภทนี้จะมาชื่นชมยินดี และจะเป็นจุดท่องเที่ยวแห่งหนึ่งในอนาคต โดยสิ่งก่อสร้างทั้ง 2 นี้ สร้างด้วยเงินจากการทำบุญของประชาชนให้แก่มูลนิธิกุศลสถานตรังจนสำเร็จ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องชื่นชม” นายชวน กล่าว

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ลั่นกลองเปิดซุ้มประตูสวรรค์ และชมการเชิดสิงโต จุดประทัดมงคลแล้ว ได้เดินไปคุยกับแป๊ะยิ้มถือพัดในคณะเชิดสิงโต ก่อนจะนำคณะเข้าสู่บริเวณจัดเลี้ยงในทันที โดยไม่ได้ถ่ายภาพหมู่บริเวณหน้าซุ้มประตูมังกรสวรรค์ ตามคำเชิญของผู้ดำเนินรายการที่ประกาศออกเครื่องขยายเสียงแต่อย่างใด ทำให้แขกทั้งหมดต้องรีบเดินตามกลับเข้าภายในงานโดยทันทีเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนวันเปิดซุ้มได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ประชาชนชาวตรัง ภายหลัง นายกัมปนาท อินทองมาก หรือทนายหมีนครตรัง อดีตสมาชิกสภาเทศบาลนครตรัง (ส.ท.) ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ใช้ชื่อ “นายกัมปนาท อินทองมาก” เมื่อช่วงค่ำวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า ก็มีคนห้ามตนว่าอย่าโพสต์ เดี๋ยวคนจะไม่รัก เพราะสิ่งที่ผมกำลังจะบรรยายถึง คือการกระทำที่น่าจะเป็นความผิดอันอาจจะเป็นการร่วมกันทำผิดหลายฝ่าย ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า มูลนิธิกุศลสถานตรังได้ยื่นแบบแปลนขออนุญาตจากเทศบาลนครตรัง เพื่อก่อสร้างทางเข้าออกซุ้มประตูกำแพง เมื่อวันที่ 11 ม.ค.2564 แต่ปรากฏว่ามูลนิธิฯ ได้สร้างผิดแบบ และไม่ได้ร่นระยะห่างแนวซุ้มประตูให้ห่างจากคลองห้วยยาง โดยต้องเว้นระยะ 3 เมตร หรือ 6 เมตร ตามกฎหมาย

นายกัมปนาท ระบุอีกว่า ต่อมาวันที่ 23 มี.ค.2564 เทศบาลนครตรัง โดยนายวัลลภ ช่วยบำรุง ปลัดเทศบาล ซึ่งปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีนครตรังในขณะนั้นได้ทำหนังสือแจ้งถึงมูลนิธิกุศลสถานตรัง เจ้าของอาคาร ผู้ครอบครอง ผู้ดำเนินการ ผู้ควบคุมงานที่ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว มีจำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ 1.เรื่องคำสั่งให้ระงับการก่อสร้างดัดแปลงหรือถอนหรือเคลื่อนย้ายอาคาร ให้ระงับการก่อสร้างอาคารจนกว่าจะได้จัดการแก้ไขให้ถูกต้อง 2.ห้ามใช้อาคาร และ 3.ให้ยื่นดำเนินการแก้ไขและให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตก่อสร้างดัดแปลงหรือเคลื่อนย้ายอาคารใหม่ โดยดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องภายใน 90 วัน และให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตดัดแปลงอาคารภายใน 30 วัน รวมเป็น 120 วัน

“สรุปเบื้องต้นคือ มีการก่อสร้างซุ้มประตู กำแพงที่ผิดแบบ ตามที่เทศบาลนครตรังแจ้งมูลนิธิฯ ต้องดำเนินการภายใน 120 วัน แต่ปรากฏว่า มูลนิธิฯ ได้ยื่นหนังสือต่อเทศบาลนครตรัง ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2564 (นายสัญญา ศรีวิเชียร นายกเทศมนตรีนครตรัง เข้ารับหน้าที่เป็นนายกเทศมนตรี ในวันที่ 10 มิถุนายน 2564) เพื่อขอขยายเวลาคำสั่งการรื้อถอน และยื่นแบบใหม่ โดยขอขยายเวลาตามคำสั่งออกไปเป็นเวลา 120 วัน มีเลขรับหนังสือของเทศบาลนครตรังเรียบร้อย สรุปว่าการส่งหนังสือขอขยายเวลาล่วงเลยเกิน 120 วันไปแล้ว แต่กลับพบว่ามีการกระทำอันน่าจะผิดกฎหมาย การปลอมเอกสารหรือใช้เอกสารปลอม มีการแก้ไขหนังสือ โดยให้มูลนิธิฯ ทำหนังสือขอขยายเวลาฉบับใหม่ แล้วนำส่งเทศบาล เป็นการทำหนังสือย้อนเวลาจากวันที่ 21 สิงหาคม 2564 เปลี่ยนเป็นวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 เพื่อให้อยู่ในช่วงเวลา 120 วัน และปรากฏว่ามูลนิธิฯ ดำเนินการสร้างซุ้มประตู กำแพง ฃจนแล้วเสร็จ” นายกัมปนาท ระบุ


นายกัมปนาท ระบุต่ออีกว่า แล้วยังพบปมปัญหาใหม่ คือ ต่อมานายกเทศมนตรีนครตรัง ได้นำญัตติเสนอ นายประเวช ไกรเทพ ประธานสภาเทศบาลนครตรัง เพื่อให้สมาชิกสภาเทศบาลนครตรัง พิจารณารับมอบการยกถนน และซุ้มประตู โดยได้มีการประชุมสภาเทศบาลนครตรัง ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2565 ปรากฏว่าสมาชิกสภาเทศบาลนครตรังชุดนายสัญญา ยกมือรับซุ้มประตู กำแพง ที่ไม่ได้ร่น-เว้นระยะตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ซึ่งเทศบาลฯ ได้แจ้งให้มูลนิธิฯ รื้อถอน แก้ไขแบบไปเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2564 จึงมีคำถามต่อว่า ขณะนี้ซุ้มประตู กำแพงถูกต้องตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคารแล้วหรือไม่ และตอนนี้ซุ้มประตู และถนนเป็นของเทศบาลนครตรัง ตามเจตนาของมูลนิธิฯ แล้ว เรื่องนี้มีการเอื้อประโยชน์กันหรือไม่อย่างไร มีใครได้ประโยชน์อันเป็นตัวเงินจากการนี้บ้าง และมีการทำและใช้เอกสารปลอมหรือไม่ เทศบาลนครตรังจะทำอย่างไรกับซุ้มประตูที่เทศบาลเองเคยมีคำสั่งให้รื้อถอน

“และผมตั้งข้อสังเกตว่า หากมูลนิธิฯ สร้างถูกต้องตามแบบ โดยที่เทศบาลนครตรังไม่เคยสั่งให้รื้อเลย มูลนิธิฯ จะส่งมอบซุ้มประตู ถนน ให้เทศบาลหรือเปล่า อันนี้ผมไม่ทราบ แต่ผมได้ยื่นเรื่องนี้ไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่วนกลางไปแล้ว โดยมีหนังสือตอบรับ และส่งเลขรับเรื่องเข้ากระบวนการของ ป.ป.ช.มายังผมแล้ว” นายกัมปนาท ระบุผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว

ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บริเวณซุ้มประตูมังกรสวรรค์ ตั้งอยู่ถนนวิเศษกุล ภายในเขตเทศบาลนครตรัง ชิดกับคลองห้วยยาง ซึ่งเป็นลำคลองเก่าแก่ไหลผ่านกลางเขตเทศบาล จากการสังเกตพบว่า เสาประตูซุ้มอยู่ใกล้กับทางเดินริมคลองค่อนข้างมาก ซึ่งขณะลงพื้นที่กำลังมีการจัดงานส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยเทศบาลนครตรังในภาคกลางคืน มีประชาชนมาชมการแสดงศิลปะและการแสดงดนตรีจำนวนมาก เปิดงานโดย นายสัญญา ศรีวิเชียร นายกเทศมนตรีนครตรัง พร้อมด้วย นายถนอมพงษ์ หลีกภัย รองนายกเทศมนตรีนครตรัง กำกับดูแลสำนักการช่าง ตลอดจนสมาชิกสภาเทศบาลเข้าร่วมคับคั่ง ภายในงานมีบริการอาหาร และเครื่องดื่มแก่ประชาชนผู้มาเที่ยวงาน

นายสัญญา กล่าวชี้แจงว่า เรื่องนี้ทางเทศบาลได้มีการการพิจารณาในสภาเทศบาลนครตรังไปแล้ว โดยทางมูลนิธิฯ จะมอบให้เป็นที่สาธารณะ เพื่อเป็นประโยชน์สาธารณะต่อไป ตนคิดว่าเรื่องนี้ถ้าเราจะเอาหลักนิติศาสตร์มาบริหารบ้านเมืองอย่างเดียวคงไม่ได้ ต้องใช้หลักรัฐศาสตร์ด้วย ถามว่าบ้านเมืองเสียหายตรงไหน บ้านเมืองไม่ได้เสียหาย มีแต่ได้ คนเราต้องมองให้กว้าง มองให้ไกลเพื่อบ้านเมือง อย่าคิดว่าจะจ้องทำลายกัน คนเป็นบัณฑิตชนน่าจะคิดให้ถ่องแท้กว่านี้ว่าได้หรือเสีย บ้านเมืองมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร มีแต่จะได้เพิ่มในสิ่งที่ดีขึ้น

“ผมคิดว่าเรื่องนี้บ้านเมืองได้ประโยชน์มากกว่า เรื่องซุ้มประตูที่รับโอนจากมูลนิธิฯ ผมไม่ได้ประโยชน์อย่างอื่น ผมประกาศเลย ผมไม่มีเงินบนโต๊ะใต้โต๊ะอะไรทั้งนั้น ยืนยันว่าผมทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีนอกมีในอะไรทั้งสิ้น” นายสัญญา กล่าว

ด้านนายราม วสุธนภิญโญ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดตรัง กล่าวว่า การกำกับดูแล และการบังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ถือเป็นหน้าที่ของท้องถิ่นที่ต้องดูแลในส่วนของการก่อสร้างของเอกชนต่างๆ ซึ่งมีระบุระเบียบ กฎ ข้อปฏิบัติ ข้อห้ามชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นกรณีดังกล่าวต้องปฏิบัติตามกฎหมาย หากไม่ปฏิบัติตาม เจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคารก็ต้องสั่งให้มีการรื้อถอน แก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมาย

“ทุกคนต้องทำตามกฎหมายหมด จะมายกเว้นคนนั้นคนนี้คงไม่ใช่ ไม่เช่นนั้นก็บังคับใช้กฎหมายไม่ได้ เพราะ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร เป็นกฎหมายเพื่อความสงบเรียบร้อยที่ทุกคนต้องดำเนินการ ไม่นั้นการก่อสร้างต่างๆ ก็จะเปลี่ยนรูปเปลี่ยนแปลงกันหมด และชัดเจนอยู่แล้วว่า สร้างใกล้แม่น้ำลำคลอง ต้องมีระยะถอยร่นเท่าไหร่ และหากเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายไม่ดำเนินการก็อาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งหน้าที่ได้ ส่วนของการรับโอนทรัพย์สินที่ก่อสร้างขัดต่อ พ.ร.บ.ควบคุมอาคารนั้น การรับโอนทรัพย์สินต่างๆ ท้องถิ่นมีอำนาจอยู่แล้วในหลักการ แต่ทรัพย์สินนั้นก่อสร้างชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และหากผิดก็ต้องดำเนินการแยกส่วนกันไป” ผอ.ป.ป.ช.ตรัง ระบุ


กำลังโหลดความคิดเห็น