ตรัง - เกษตรกร ต.หนองช้างแล่น อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ปลูกไผ่แซมยางแต่ไม่เปิดกรีดยาง หันมาตัดหน่อไม้ขายสร้างรายได้หลักทั้งในและนอกฤดูกาล ดีกว่ายางที่ราคาไม่แน่นอน และไม่ได้กรีดทุกวันเพราะฝนตกบ่อย
วันนี้ (11 ก.ค.) นายเปลื้อง ช่วยรุย อายุ 52 ปี เกษตรกรชาวสวนยางพารา หมู่ที่ 6 ต.หนองช้างแล่น อ.ห้วยยอด จ.ตรัง นำผู้สื่อข่าวดูสภาพพื้นที่สวนยางพารา เนื้อที่ประมาณ 8 ไร่ ที่รับทุนสงเคราะห์จาก กยท.ประเภทที่ 5 ซึ่งสามารถปลูกพืชแซมยางได้ ซึ่งขณะนี้ยางทั้งหมดได้ปิดสมุดสงเคราะห์ สามารถเปิดกรีดได้มานานนับปีแล้ว แต่เจ้าของสวนกลับเก็บเอาไว้ให้สำหรับพืชแซมใช้เป็นที่พึ่งพา โดยได้ปลูกพืชร่วมหลากหลายชนิดลงไปในสวนยาง
โดยเฉพาะไผ่ที่ปลูกไว้กระจายเต็มพื้นที่ทั้ง 8 ไร่ กว่า 10 สายพันธุ์ ประกอบด้วย ไผ่หม่าจู ไผ่กิมซุง ไผ่ซางหม่อน ไผ่สีสุก ไผ่เลี้ยง ไผ่ลวก ไผ่ปักกิ่ง ไผ่มันหมู ไผ่เลี้ยงสีทอง ไผ่สร้างไพร (ไผ่เลี้ยงลำเอาไว้สำหรับการทำโรงเรือนไว้ปลูกพืช แทนการใช้เหล็กซึ่งมีราคาแพง) ไผ่เค้าดาวน์จักรพรรดิ ไผ่ข้าวหลามหนองมน ไผ่ข้าวหลามปากแดง และไผ่ดำติมอร์ สำหรับทำเฟอร์นิเจอร์
แต่ในจำนวนนี้ประมาณ 3 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่น้ำท่วมซ้ำซาก ลึกประมาณ 1 เมตร เจ้าของจึงได้ปลูกไผ่ร่วมยางเอาไว้หนาแน่นมากกว่าจุดอื่นๆ เพื่อหวังให้ไผ่ช่วยดูดซับน้ำที่เข้าท่วมพื้นที่ และได้ตัดหน่อไผ่ขาย มีรายได้ทุกสัปดาห์ๆ ละ 2 ครั้ง คือ วันเสาร์ และวันอังคาร แต่ละครั้งได้นับ 100 กิโลกรัม ทั้งในและนอกฤดู แต่ดูแลจนสามารถออกหน่อนอกฤดูได้มากกว่าออกในฤดู โดยในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงในฤดู จะมีหน่อไม้ออกจำนวนมาก แต่ไผ่ของเกษตรกรรายนี้หน่อจะออกน้อย เพราะดูแลบำรุงรักษาให้ออกนอกฤดูจำนวนมากกว่า ทำให้ในช่วงหน้าแล้งสามารถตัดหน่อไผ่ขาย มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ โดยตัดส่งให้เพื่อนซึ่งรวมกลุ่มกันปลูกและแปรรูปนำไปขาย ทั้งหน่อไม้สด และหน่อไม้ดอง
โดย นายเปลื้อง กล่าวว่า สวนยางของตนเปิดกรีดได้นานนับปีแล้ว แต่ตนไม่เปิดกรีด เอาไว้ให้พืชร่วมพึ่งพา จะเห็นว่าต้นไผ่ที่ตนปลูกไว้สามารถสะสมอินทรีย์วัตถุได้มากมายเป็นอาหารของไผ่ ทำให้ไผ่สมบูรณ์ มีหน่อให้ตลอดเวลา โดยตนดูแลให้สามารถออกหน่อนอกฤดู เพียงแต่เสริมด้วยปุ๋ยมูลสัตว์ และให้น้ำในหน้าแล้ง สร้างความชุ่มชื่นให้ดิน จึงทำให้หน่อไม้ของตนออกนอกฤดูมากกว่าในฤดู แถมอวบใหญ่ น้ำหนักดี หนักหน่อละ 1-2 กก.
ซึ่งในช่วงหน้าแล้งที่ออกนอกฤดู บางหน่อขายได้ 70-100 บาท และสามารถตัดได้ครั้งละประมาณ 70-100 กก. ทำให้มีรายได้เดือนละ 10,000- 20,000 บาท เฉพาะเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ ซึ่งในอนาคตจะสามารถตัดเก็บหน่อได้ทุกวัน และขยายพื้นที่ปลูกไผ่เชิงเดี่ยวเพิ่มอีก 1 แปลง ทั้งนี้ การปลูกไผ่ ถ้าต้องการขายลำจะใช้เวลาโดยรวมประมาณ 5 ปี จึงจะตัดลำขายได้ แต่ระหว่างที่ยังขายลำไม่ได้ ระหว่างทางสามารถตัดหน่อขายเป็นรายได้ดีกว่ามาก
นอกจากนั้น เมื่อผู้สื่อข่าวติดตามไปดูการทำหน่อไม้ต้มสดขาย และการแปรรูปทำหน่อไม้ดองไว้ขายนอกฤดูของกลุ่ม โดยหน่อไม้ที่ได้มาจากแปลงสวนยางของ นายเปลื้อง และ นางพะยอม วารินสะอาด อายุ 56 ปี ซึ่งรวมกลุ่มกันปลูกและแปรรูปหน่อไม้ โดยเกษตรกรมีการลดต้นทุนการผลิต ด้วยการปั้นเตาดินขนาดใหญ่ขึ้นมา เพื่อสามารถใช้ได้กับกระทะใบบัว สำหรับต้มหน่อไม้สด ไม่ต้องใช้แก๊สซึ่งสิ้นเปลือง แต่ใช้วัสดุเศษขยะจากบริเวณบ้านและในสวน เช่น เปลือกมะพร้าว กะลามะพร้าว ไม้ฟืน นำมาเป็นเชื้อเพลิงต้มหน่อไม้สดแทน เพื่อลดต้นทุนการผลิต และคิดค้นเครื่องมือตัดหน่อไม้เป็นแว่นๆ ด้วยตัวเอง เพื่อลดเวลาทำงาน และเป็นเครื่องทุ่นแรง ทำให้สามารถทำหน่อไม้ดองได้อย่างสะดวก รวดเร็ว
โดย นางพะยอม บอกว่า หน่อไม้จากสวนของตนเอง และสวนของ นายเปลื้อง ซึ่งจับมือกันทำในปีที่ผ่านมา สามารถผลิตหน่อไม้ทั้งแบบต้มสดและหน่อไม้ดองไว้ขายทั้งในฤดูและนอกฤดูได้มากถึง 4 ตัน สร้างรายได้ให้หลายแสนบาท และในปีนี้เชื่อว่าน่าจะได้มากถึง 5 ตัน ซึ่งนอกฤดูจะขายได้ราคาดีกว่า แต่ต้องการรักษาลูกค้าจึงต้องผลิตขายทั้งในและนอกฤดู
โดยหน่อไม้ดองหน่อไม้ดองในฤดู จะขาย กก.ละ 35 บาท ส่วนนอกฤดู จะขายราคา กก.ละ 50 บาท ขณะที่หน่อไม้สดต้มในฤดู ขายราคา กก.ละ 40 บาท แต่ถ้านอกฤดู จะขายได้ กก.ละ 60 บาท จึงมีรายได้ดีมาก เป็นรายได้หลักแทนรายได้จากสวนยาง ซึ่งราคาไม่ดี ขึ้นๆ ลงๆ และฝนตกบ่อย ไม่สามารถกรีดได้ทุกวัน