ชุมพร - คืบหน้า 2 ผัวเมียทิ้งบ้านหนีตายไปอยู่กับญาติ หลังถูกคนร้ายถือมีดบุกบ้าน 3 ครั้ง ตำรวจคุมตัวมาสอบพบประวัติเสพยาจนจิตหลอน อ้างคู่กรณีเป็นชู้กับภรรยาตนเมื่ออดีตชาติปางก่อนจึงต้องเอาคืน รองนายก อบต.ผู้เป็นแม่ไกล่เกลี่ยคู่กรณี พร้อมให้ตำรวจคุมตัวส่งไปรักษาโรงพยาบาลอีกรอบ
จากกรณี น.ส.อรัญญา ยศแก้ว อายุ 22 ปี และนายสันติ สังวรกาญจน์ อายุ 28 ปี 2 สามีภรรยา ในพื้นที่ ต.นากระตาม ต้องทิ้งบ้านหลบหนีไปอยู่กับญาติต่างตำบลในพื้นที่ ต.ท่าข้าม อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร เนื่องจากมีคนร้ายถือมีดพร้าแบบมีด้าม (มีดงอทำสวน) บุกพังประตูบ้านทั้งตอนกลางวันและยามวิกาลถึง 3 ครั้ง จนต้องลงทุนซื้อกล้องวงจรปิดมาติดตั้งบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน โดยครั้งล่าสุดเหตุเกิดเมื่อเวลา 02.30 น.วันที่ 3 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา คนร้ายรายเดิมได้ถือมีดพร้าพังประตูบุกเข้าถึงเตียงนอนยกมีดหมายจะฟันให้ตาย แต่โชคดีสันติ ผู้เป็นสามีตื่นขึ้นมาเห็นเสียก่อนต้องลุกขึ้นวิ่งหนีไปพังประตูหลังบ้านออกไปหลบซ่อนที่ขนำในสวนข้างบ้าน ทำให้รอดตายได้อย่างหวุดหวิด ขณะที่คนร้ายถือมีดวิ่งไล่ตามไม่ทัน ส่วน น.ส.อรัญญา ผู้เป็นภรรยาแยกเข้าไปนอนอีกห้องคนร้ายไม่เห็นทำให้รอดตายหวุดหวิดเช่นเดียวกัน หลังไปแจ้งความคดีไม่คืบหน้าเพราะคนร้ายเป็นลูกชายของนักการเมืองหญิงระดับรองนายก อบต.แห่งหนึ่งในอำเภอท่าแซะ จึงต้องหอบผ้าหนีไปอยู่บ้านญาติ ตามข่าวที่เสนอแล้วนั้น
ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว เมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ (6 ก.ค.) พ.ต.อ.นวัชนันท์ ศิธราชู ผกก.สภ.ท่าแซะ ได้เชิญคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย มาเจรจาไกล่เกลี่ยกันที่ สภ.ท่าแซะ เนื่องจากที่ผ่านมา ผู้เสียหายเข้าใจผิดว่าเป็นการแจ้งความดำเนินคดี แต่เป็นเพียงลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น โดยมี นายสันติ สังวรกาญจน์ น.ส.อรัญญา ยศแก้ว 2 สามีภรรยา และนางพิสมัย คีรีวัฒน์ รองนายก อบต.นากระตาม แม่ของคนร้ายที่ก่อเหตุตามกล้องวงจรปิดที่จับภาพได้ โดยมีปลัดอาวุโสฝ่ายปกครองซึ่งได้รับมอบหมายจากนายอำเภอท่าแซะ เข้ามาร่วมด้วย
ส่วนคนร้ายคู่กรณีตามภาพจากกล้องวงจรปิดทราบชื่อคือ นายธราธิป หรือกัน คีรีวัฒน์ อายุ 31 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนได้คุมตัวมาด้วย แต่ไม่สามารถนำเข้าไปพูดคุยไกล่เกลี่ยได้ เนื่องจากเมื่อนายธราธิป เห็นหน้านายสันติ จะมีอาการกำเริบตาขวางคล้ายของขึ้นจะเข้าทำร้ายนายสันติ ทันที เจ้าหน้าที่จึงต้องแยกไปควบคุมตัวไว้ในห้องชั้นล่างของ สภ.ท่าแซะ
การเจราจาไกล่เกลี่ยคู่กรณีทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันด้วยดี โดยนางพิสมัย คีรีวัฒน์ รองนายก อบต.นากระตาม รับปากจะไปซ่อมแซมประตูบ้านที่ลูกชายบุกเข้าไปพังเสียหายให้ และจะดูแลไม่ให้ไปก่อเรื่องอีก พร้อมจะให้ตำรวจนำตัวไปบำบัดและส่งตัวไปรักษาอาการทางจิต โดยนางพิสมัย ได้นำสมุดบันทึกรายงานการรักษาอาการทางจิตเวชของลูกที่โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ จ.สุราษฎร์ธานี ตั้งแต่ พ.ศ.2560 จากสาเหตุเสพยาเสพติด จนกระทั่งแพทย์ให้กลับมารักษาตัวที่บ้านและให้ไปรับยารักษาอาการอย่างต่อเนื่องที่โรงพยาบลท่าแซะตามภูมิลำเนา ซึ่งพบว่าในสมุดบันทึกรายงานมีการไปรับยามากินต่อเนื่อง แต่ส่วนใหญ่เมื่อนายธราทิป รับยามาแล้วไม่ได้กินตามแพทย์สั่ง
นางพิสมัย คีรีวัฒน์ รองนายก อบต.นากระตาม บอกว่า ความจริงแล้วลูกชายตนกับคู่กรณีเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน หลังเสพยาจนต้องบำบัดรักษาอาการทางจิต เมื่อกลับมารักษาตัวที่บ้านไม่เคยทำร้ายใคร เพียงแต่ลูกชายไม่กินยารักษาอาการต่อเนื่อง ซึ่งเขาบอกว่าเขาหายดีแล้ว ตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะบังคับเขาไม่ได้ และเขากำพร้าพ่อตนได้เลี้ยงดูอย่างดี ทุกวันนี้ต้องทำใจ ซึ่งตนแปลกใจมากว่าลูกชายไม่เคยก่อเหตุทำร้ายใคร แต่ทำไมมาฝังใจจะทำร้ายอยู่แค่คนเดียวคือนายสันติ ทั้งที่เป็นเพื่อนกันมาก่อน
ด้าน พ.ต.อ.นวัชนันท์ ศิธราชู ผกก.สภ.ท่าแซะ กล่าวว่า สำหรับนายกัน ผู้ก่อเหตุนั้นเมื่อปลายปี 2564 เคยถูกจับคดีเสพยาเสพติด และส่งตัวไปบำบัดมาครั้งหนึ่งแล้ว ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นทางตำรวจไม่ได้ละเลย หลังเกิดเหตุคู่กรณีมาแจ้งตำรวจ ได้ให้สายตรวจออกไปตรวจสอบดูแลและติดตามหานายกัน คู่กรณีและได้นัดหมายกับทางแม่นายกัน พร้อมผู้เสียหายให้มาพูดคุยเจรจาไกล่เกลี่ย และป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น แต่ตนเข้าใจผู้เสียหายเพราะความกลัวจะเกิดเหตุร้ายกับเขาอีก จึงต้องหนีไปอยู่บ้านญาติ ซึ่งวันนี้ทั้งสองฝ่ายตกลงพูดคุยกันด้วยดี และจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก โดยจะให้สายตรวจคอยออกตรวจตราดูแลความปลอดภัยให้ด้วย
พ.ต.อ.นวัชนันท์ กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นหากผู้เสียหายหากประสงค์จะแจ้งความดำเนินคดีก็ทำได้ แต่เท่าที่เราได้พูดคุยกับนายกัน คู่กรณีแล้วเขามีอาการทางจิตจริงๆ จากการที่ตนได้พูดคุยสอบถามนายกัน ว่าทำไมต้องก่อเหตุบุกไปบ้านเขาแบบนั้น นายกัน ตอบว่า เพราะนายสันติ คู่กรณีนั้นเมื่ออดีตชาติปางก่อนเคยเป็นชู้กับเมียตนเอง ชาตินี้จึงต้องมาเอาคืน และยังพูดจาอีกหลายเรื่องที่ฟังแล้วรู้ได้เลยว่ามีอาการทางจิตไม่ปกติ จึงต้องนำตัวไปส่งรักษาที่โรงพยาบาลต่อไป