นครศรีธรรมราช - รูดม่านการเมือง! “เทพไท เสนพงศ์” พร้อมน้องชาย “มาโนช เสนพงศ์” ศาลฎีกาพิพากษายืนจำคุก 2 ปี เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี คดีอาญาผลพวงทุจริตเลือกตั้งนายก อบจ.นครศรีธรรมราช
วันนี้ (6 ก.ค.) ที่ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ศาลฎีกาได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีอาญาผลพวงจากคดีทุจริตเลือกตั้งนายก อบจ.นครศรีธรรมราช เมื่อกว่า 6 ปีก่อน โดยมี นายพิชัย บุณยเกียรติ อดีตนายก อบจ.นครศรีธรรมราช เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายมาโนช เสนพงศ์ เป็นจำเลยที่ 1 และนายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยที่ 2 ซึ่งนายพิชัย โจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีนี้โดยตรงต่อศาลด้วยตนเอง หลังจากที่ กกต.ได้แจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครศรีธรรมราช แต่กระบวนการชั้นพนักงานสอบสวนไปจนถึงชั้นอัยการมีความล่าช้า จนกระทั่งในส่วนของคดีอาญานี้ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาจำคุก 3 ปี แต่ลดโทษ 1 ใน 3 คงเหลือจำคุก 2 ปี เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง 10 ปี ต่อมาจำเลยทั้ง 2 อุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืน จำเลยทั้ง 2 ได้ยื่นฎีกาในข้อเท็จจริงสู้คดี
โดยวันนี้ศาลฎีกาได้นัดฟังคำพิพากษา ที่ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ในคดีดำที่ 174/2562 คดีแดงที่ 485/2563 ช่วงเช้าที่ผ่านมา นายเทพไท เสนพงศ์ และนายมาโนช เสนพงศ์ จำเลยทั้ง 2 ได้เดินทางมายังศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อเข้ารายงานตัวต่อศาล โดยมีผู้สนับสนุนจำนวนหนึ่งคอยให้กำลังใจอยู่หน้าศาล ขณะที่ นายพิชัย บุณยเกียรติ โจทก์ พร้อมด้วย นายสุวิทย์ ศิริวุฒิ ทนายความ และคณะทำงานด้านกฎหมายได้เดินทางมายังศาลเพื่อเข้ารับฟังคำพิพากษา โดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง การอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแล้วเสร็จ ปรากฏว่าศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ คือลงโทษจำคุก 3 ปี ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 2 ปี เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี
มีรายงานว่า ก่อนการฟังคำพิพากษา ตำรวจศาลได้ใส่เครื่องพันธนาการข้อมือของจำเลยทั้ง 2 ราย ก่อนฟังคำพิพากษา และหลังจากอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น ทั้งคู่มีสีหน้ากังวล และมีอาการเครียด ตำรวจศาลได้เข้าทำการควบคุมตัวตามขั้นตอนทันที ทั้งนี้ คดีนี้ได้ถึงที่สิ้นสุดตามขั้นตอนทางกฎหมายอย่างครบถ้วนแล้ว ขณะที่ผู้ใกล้ชิดมีสีหน้าเคร่งเครียด บางรายถึงกับร่ำไห้ และเข้าไปรับของใช้ส่วนตัว ทั้งเครื่องมือสื่อสาร และรองเท้า โดยทั้งคู่ได้สวมรองเท้าแตะ และเข้าไปยังห้องควบคุมของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อรอส่งตัวไปยังแดนแรกรับ เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ตามคำพิพากษาศาลฎีกา
ขณะที่ นายพิชัย บุณยเกียรติ โจทก์คดีนี้ เปิดเผยว่า ในข้อต่อสู้ทางคดีศาลได้พิจารณาว่าพยานโจทก์ได้ให้การที่มีความสอดคล้องต้องกัน พยานให้การตรงกับการวินิจฉัยของ กกต.ในส่วนของคดีเลือกตั้ง และคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ในส่วนของคดีอาญาศาลชั้นต้นได้พิจารณาถูกต้องครบถ้วน พยานโจทก์ให้การสอดคล้องต้องกันมีความน่าเชื่อถือ มั่นคง จนกระทั่งศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนจำคุก จนกระทั่งมาศาลฎีกาในวันนี้ได้กรุณาวินิจฉัยทุกประเด็น ซึ่งต้องขอขอบคุณกระบวนการยุติธรรม
ด้านนายสุวิทย์ ศิริวุฒิ ทนายความโจทก์ได้ระบุว่า คดีนี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญของนักการเมืองรุ่นหลังที่ต้องยึดถือ และปฏิบัติตามกฎหมายที่ตราไว้ บางคนคิดทำผิดกฎหมายเลือกตั้งแล้วสร้างนอมินีไว้ แล้วคิดว่าตัวเองจะพ้นผิด สิ่งเหล่านี้เป็นบทเรียนอย่างชัดเจนในคำพิพากษา ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญ การจัดเลี้ยง เมื่อสร้างนอมินีขึ้นมาแล้วไปทำแทนแล้วจะพ้นผิด พิสูจน์ชัดว่าไม่ใช่ ควรเลิกปฏิบัติในกรณีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย