ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ขยายผลจับกุม 2 ผัวเมียนายหน้าค้าแรงงานพม่าเถื่อนข้ามชาติ กลุ่มเดียวกับที่ฆ่ามัดมือมือคนไทย ลูกจ้างบริษัทรับเหมา กฟภ.นาหม่อม ฝังดินที่ ต.บ้านพรุ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
วันนี้ (27 มิ.ย.) จากคดีแรงงานต่างด้าวชาวพม่าฆ่าฝังดินนายหมัดดล บินสัน อายุ 40 ปี ลูกจ้างบริษัทรับเหมางานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) นาหม่อม ที่ป่าด้านหลังสนามกอล์ฟ หมู่ 1 บ้านคลองปอม ต.บ้านพรุ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ซึ่งนำไปสู่การกวาดล้างขบวนการค้าแรงงานเถื่อนข้ามชาติทั้งระบบอีกครั้งนั้น
ล่าสุด ที่ สภ.หาดใหญ่ พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 แถลงข่าวการจับกุมนายหน้าค้าแรงงานเถื่อนข้ามชาติได้อีก 2 คน คือ น.ส.สำราญ พิมพ์สมาน อายุ 50 ปี และนายพงษ์วิทย์ บุญมา อายุ 49 ปี สามีภรรยา ในข้อหา "ร่วมกันให้ที่พักพิง ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย พ้นการจับกุมของพนักงานเจ้าหน้าที่" ตามหมายจับศาลจังหวัดสงขลา ที่บ้านเนินแก้ว ม.5 ต.อ่าวน้อย อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ติดชายแดนไทย-พม่า โดยทั้ง 2 คนเป็นนายหน้าที่พาชาวพม่า กลุ่มที่ฆ่าคนไทยเข้าประเทศด้วย
จากการสอบสวนทั้ง 2 คน ยอมรับสารภาพว่า มีนายหน้าฝั่งพม่าเป็นผู้ติดต่อมาให้ช่วยหารถและคนขับพาแรงงานไปส่งที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย โดยได้ค่าจ้างเป็นรายหัวๆ ละ 1,000-2,000 บาท และยังรับอีกว่าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานำเข้าแรงงานชาวพม่าหนีเข้าเมืองมาแล้วหลายร้อยคน
และการจับกุม 2 ผัวเมียคู่นี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. เจ้าหน้าที่ได้จับกุม นายสุชาติ เซี่ยงโหล ผู้ติดต่อหารถขนแรงงาน และนายวรรวุฒิ ฟักประเสริฐ คนขับรถขนแรงงาน พร้อมแรงงานหลบหนีเข้าเมือง 26 คน ในพื้นที่ อ.บางกล่ำ จ.สงขลา และมีการสอบสวนขยายผลจนออกหมายจับผู้สั่งการได้ทั้ง 2 คน
สำหรับคดีฆ่าฝังดิน นายหมัดดล เจ้าหน้าที่ยังคงเดินหน้าติดตามจับกุมทั้งผู้ที่ก่อเหตุและเครือข่ายค้าแรงงานเถื่อนข้ามชาติอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของผู้ก่อเหตุที่เป็นชาวพม่าหลบหนีเข้าเมืองได้ออกหมายจับไปแล้ว 5 คน จับกุมได้ 3 คน หลบหนีอีก 2 คน และยังอยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบตัวบุคคลอีก 3 คน ได้จับกุมผู้นำพาและนายหน้าคนไทยได้ 4 คน
ในส่วนของกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ตำรวจภูธรภาค 9 มีผลปฏิบัติจับกุมแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา กวาดล้างจับกุมแรงงานเถื่อนหลบหนีเข้าเมืองชาวพม่าได้ประมาณ 500 คน ยึดรถยนต์ที่ใช้ในการกระทำผิดประมาณ 10 คัน