ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ชาวเบตงราว 200 คน เตรียมเข้าพบ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องขอใช้พื้นที่ราชพัสดุแทนนายทุน และนอมินีชาวต่างชาติ
สมาคมผู้ไม่มีที่ดินทำกิน-อาศัย ต.ตาเนาะแมเราะ อ.เบตง จ.ยะลา ประมาณ 50 คน รวมตัวกันบริเวณร้านกาแฟบ้านอายาซอ ม.2 ต.ตาเนาะแมเราะ อ.เบตง จ.ยะลา เยื้องกับศูนย์ปฏิบัติธรรมนานาชาติเบตง หรือสำนักสัมมาอะระหัง เดิมชื่อว่ามูลนิธิธรรมมะตะวัน เพื่อร่วมหารือข้อสรุปในการขับเคลื่อนขอความเป็นธรรมให้ชาวบ้านสามารถมีที่อยู่อาศัย และที่ทำกิน หลังจากได้ยื่นหนังสือผ่าน นายเอก ยังอภัย ณ สงขลา นายอำเภอเบตง ถึงนายภิรมย์ นิลทยา ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา แต่ยังคงถูกไล่ที่ ซึ่งเป็นพื้นที่ราชพัสดุกว่า 1,400 ไร่ โดยมีชาวนราธิวาส เป็นผู้ทำสัญญาเช่าพื้นที่ดังกล่าวต่อธนารักษ์ จ.ยะลา จำนวน 1,088 ไร่ เป็นเงิน 293,950 บาท ตั้งแต่ปี 2532 จนถึงปัจจุบัน ต่อมาในช่วงปี 2558 ได้มีการไล่ชาวบ้านที่อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าว ทั้งที่ชาวบ้านอาศัยอยู่นานถึง 40 กว่าปี รวมทั้งยังมีการแจ้งความดำเนินคดีชาวบ้านในพื้นที่รวม 7 ปี 13 คนๆ ละ 2 ข้อหา คือบุกรุกและลักทรัพย์ กรณีดังกล่าวทำให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบ 200 คน ในขณะเดียวกัน ชาวบ้านยังพบการประกาศขายในโซเชียลที่ดินของราชพัสดุในราคาไร่ละ 4 แสนกว่าบาท
นายประเสริฐ เกาะกลาง แกนนำชาวบ้าน กล่าวว่า ชาวบ้านจะเช่าเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย และพื้นที่ทำกิน พวกเขาไม่ให้เช่า แต่ให้นายทุนเช่า แต่เอาจริงทำสัญญาซื้อขาย ชาวบ้านในพื้นที่ได้รวมตัวเพื่อขอความเป็นธรรม และขอพิจารณาให้ชาวบ้านผู้ที่ไม่มีที่อยู่อาศัย และที่ทำกินได้ขอแบ่งเช่าพื้นที่เพื่อทำมาหากิน และเป็นที่อยู่อาศัย แต่ถูกปฏิเสธจากผู้ทำสัญญาเช่าพื้นที่ต่อธนารักษ์ จ.ยะลา ขณะเดียวกัน ผู้เช่าเจ้าของพื้นที่ อันนี้ดูจากเอกสารเขาได้แบ่งที่ดินประมาณ 5 ไร่ แรกๆ ให้แก่มูลนิธิธรรมตะวัน หรือที่ตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรมนานาชาติเบตง หรือสำนักสัมมาอะระหังในปัจจุบันที่มีการติดป้ายหน้าสำนัก ทำการเช่าพื้นที่จนปัจจุบันประมาณ 100 ไร่ เป็นเงินหลายล้านบาท ที่ชาวบ้านเขาเล่ากัน ตามเอกสารอ้างว่าเพื่อประโยชน์อย่างอื่น (เพื่อเป็นที่ตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรมของมูลนิธิธรรมตะวัน) และนอกจากนี้ ยังมีคนในพื้นที่เป็นนอมินีแทนหลายคน ทั้งที่รับราชการเป็นทหาร และตำรวจ รวมทั้งชาวต่างชาติอีกด้วย แต่ชาวบ้านไม่มีสิทธิเช่า ทำให้ชาวบ้านเกิดความเห็นว่าไม่มีความเป็นธรรมต่อประชาชนที่จะใช้ประโยชน์ในพื้นที่ราชพัสดุ ซึ่งเป็นที่ดินของหลวง ชาวบ้านจึงได้รวมตัวกัน และเคยได้ทำหนังสือยื่นไปถึง คสช. รวมถึงนายกรัฐมนตรีมาแล้ว แต่เรื่องดังกล่าวกลับเงียบหายไป
ล่าสุด ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา บอกว่าจะทำให้เสร็จภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่ทางสมาคมฯ ได้ยื่นหนังสือไป แต่ไม่ได้บอกจะทำให้เสร็จยังไง ส่วนชาวบ้านมองว่าพวกเราไม่เชื่อว่าเขาจะดำเนินการจริง เพราะ 7 ปีที่มีการเคลื่อนไหวขอความเป็นธรรม ผู้มีอำนาจจะตอบมาแบบนี้ แต่ให้เวลาผู้ว่าฯ ได้ดำเนินการตามที่พูด พวกเราจึงคุยกันว่าจะเคลื่อนไหวอีก 2 เดือนหลังจากนี้ หากไม่มีความคืบหน้าอาจเดินทางไป กทม. เพื่อขอความเป็นธรรมจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพราะที่ผ่านมาช่วงที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่มีความพยายามจะเข้าไปพบ แต่ถูกเจ้าหน้าที่บล็อกตัวชาวบ้าน
เราต่อสู้มาตลอดนาน 7 ปี ในช่วงยุครัฐบาลนี้ ชาวบ้านโดนไล่ที่ทุกวัน แต่สุดท้ายในจำนวน 1,400 ไร่ ที่อยู่ตรงพื้นที่หมู่ที่ 2 บ้านบ่อน้ำร้อน ต.ตาเนาะแมเราะ อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวบ่อน้ำร้อน ถ้ำปิยะมิตร ที่มีนักท่องเที่ยวมาจำนวนมากทุกวันของเบตง เป็นพื้นที่ราชพัสดุ จำนวนกว่า 1,400 ไร่ ที่ดินถูกแบ่งขายให้นายทุน และนอมินี ให้ชาวมาเลเซียกว่า 200 คน ประมาณ 500 ไร่ ในราคา 4-6 แสนบาท โดยทำทีว่าเช่ากับราชพัสดุ เอาเข้าจริงแค่ตบตาชาวบ้าน
พวกเราพร้อมยุติเรื่องนี้ถ้าชาวบ้านมีที่อยู่อาศัย และพื้นที่ทำกิน ที่ไหนก็ได้ที่รัฐคิดว่าสมควร ไม่ได้จำกัดเฉพาะพื้นที่ตรงนี้ เพราะชาวบ้านที่ออกมาร้องเรียนเดือดร้อนจริงๆ ถ้าเขาไม่เดือดร้อนเขาคงไม่ออกมาร้องขอความเป็นธรรม พวกเราต่อสู้มานาน 7 ปีตั้งแต่รัฐบาลนี้ มีชาวบ้านต่อสู้จนตายก็มี แต่รัฐบาลยังไม่เห็นใจพวกเรา ขอฝากท่านนายกรัฐมนตรี โปรดเห็นใจชาวบ้านมากกว่านายทุน
นายไข่ นวดทอง อายุ 65 ปี กล่าวว่า อยู่ที่นี่มานาน 40 ปี โดนคดีเหมือนกัน บางคนถูกเขาแจ้งความ แต่ศาลไม่รับฟ้อง เพราะรู้อยู่ว่าความจริงที่เกิดขึ้นคืออะไร พวกเราชาวบ้านต้องการแค่พื้นที่ทำกิน และที่อยู่อาศัย แต่กลับไม่ได้รับความเป็นธรรม แม้จะเดินทางไปขอพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระหว่างลงพื้นที่ แต่ถูกเจ้าหน้าที่บล็อกตัวทุกครั้ง จนกระทั่งคณะนายกฯ กลับ พวกเราก็จะถูกเขาปล่อยตัว
รัฐเอาเปรียบประชาชน เขามาจากไหน ชาวบ้านในพื้นที่นอนข้างถนน คนที่มาจากที่อื่นมาสร้างที่อยู่ใหญ่โต มันดูเหมือนสบายตาเขา แต่ไม่สบายใจชาวบ้าน ชาวบ้านเขาไม่สนับสนุน แต่ไปสนับสนุนคนที่มาจากข้างนอกที่จะเข้ามาสร้างความแตกแยก อยู่ที่นี่ไม่ได้ออกมาบิณฑบาต และสร้างความศรัทธาให้ชาวบ้านที่นี่เลย กลับสร้างปัญหา เกิดความแตกแยก คนตายยังไม่มาเผา
ด้านนายมณฑน สุเทวี อายุ 62 ปี กล่าวว่า เคยเป็นลูกจ้างกรีดยางของคนที่เช่าที่จากราชพัสดุมานานหลายสิบปี จนกระทั่งถูกเขาแจ้งความดำเนินคดีบุกรุก และลักทรัพย์ เป็นกล้วยที่เราปลูกบนพื้นที่ของเขาอ้างว่าเช่า ทั้งที่ตนและครอบครัวอยู่ที่นี่มานาน 35 ปี ตอนนั้นตนเป็นลูกจ้างกรีดยางของผู้เช่า แล้ววันหนึ่งเขาจะปลูกต้นไม้โตเร็ว ตนจึงเสนอว่าเถ้าแก่ถ้าเอาต้นไม้เล็กๆ มาปลูกแบบนี้ไม่มีอะไรบังแดด มันจะตายเอา เขาถามว่าแล้วจะทำยังไง ที่นี่ตนก็ปลูกกล้วยเพื่อให้มันบังแดด ปลูกกล้วยจนสามารถเก็บผลผลิตไปขายนานถึง 7 ปี จนกระทั่งมาร่วมเคลื่อนไหวกับชาวบ้านเพื่อขอเช่าพื้นที่ ทำสนามกีฬา และที่ออกกำลังกาย แต่ถูกปฏิเสธ แต่จู่ๆ เขาไปขาย โดยทำทีให้เช่าให้กับวัดนี้
จากนั้นจู่ๆ เขาไปแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าตนและครอบครัวขโมยกล้วย และเป็นผู้บุกรุก ตนทำหนังสือขอความเป็นธรรมไปที่ จ.ยะลา ถึงนายกรัฐรัฐมนตรี ต่อสู้จนศาลรอลงอาญา แสดงว่าเรื่องนี้ความเป็นธรรมไม่มี สำหรับชาวบ้านแล้วการให้พื้นที่กับวัดนั้นไม่ได้ทำประชาคมหมู่บ้านให้ชาวบ้านรับรู้ ตรงนี้ทำให้เรารู้สึกว่ารัฐเข้ามาสร้างความแตกแยกให้ชาวบ้าน
ส่วนนายนัท พรมสังข์ 66 ปี กล่าวว่า อาศัยอยู่ที่นี่มานาน 40 กว่าปี ในพื้นที่นี้ตนไม่มีสิทธิที่จะอยู่อาศัยบนพื้นที่ราชพัสดุอย่างถูกกฎหมาย ทั้งที่พวกเรามีความพยายามที่จะขอเช่า แต่เขากลับให้คุณค่ากับนายทุน กับนายพล และชาวมาเลเซีย โดยให้คนพื้นที่เป็นนอมินี ขอให้นายกรัฐมนตรีเห็นใจพวกเราด้วย ให้พวกเราเดือดร้อนในยุคของท่าน แล้วความเดือดร้อนนี้ก็ให้จบลงในยุคของท่านด้วย