xs
xsm
sm
md
lg

“สนามบินเบตง” ตัวอย่างความล้มเหลวของมาตรการดับไฟใต้ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ โดย…ไชยยงค์ มณีพิลึก

ก่อนอื่นขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว อส.ทพ.จิโรจ จิตวิสุทธ์ ที่เสียชีวิตจากการถูกลอบกัดของ “แนวร่วม” ขบวนการบีอาร์เอ็นที่บ้านเมาะโจ ม.5 ต.กระหวะ อ.มายอ จ.ปัตตานี และยังมีเพื่อนทหารพรานได้รับบาดเจ็บพร้อมกันอีก 4 นาย

เป็นการลอบวางระเบิดเพื่อหลอกล่อให้ทหารพรานออกจากฐานปฏิบัติการไปยังจุดสังหาร ซึ่งเป็นยุทธวิธีทำ “สงครามกองโจร” ที่ถูกใช้มาแล้วกว่า 18 ปี และวันนี้ยังใช้ได้ผลอยู่ ถือเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมกองทัพยังแก้ปัญหานี้ไม่ได้

ทำไมการสูญเสียซ้ำซากแบบนี้หน่วยงานในพื้นที่จึงมองเห็นเป็นเรื่องปกติ ทำไมยุทธวิธีง่ายๆ แบบนี้จึงไม่ได้รับการแก้ไข โดยข้อเท็จจริงแล้ววันนี้แนวร่วมขบวนการบีอาร์เอ็นได้กระจายตัวเต็มพื้นที่ ทุกฐานปฏิบัติการของทหารล้วนอยู่ในสายตาของพวกเขาตลอดเวลา

ขอถามหน่อยว่าที่ผ่านมาไม่รู้เลยหรือว่าเมื่อ “เป้าหมายชัด โอกาสมี ทางหนีพร้อม” แนวร่วมและกองกำลังติดอาวุธของบีอาร์เอ็นที่เตรียมพร้อมรอคำสั่ง พวกเขาจะออกปฏิบัติการเมื่อไหร่ก็ได้ในทันที

ตัวอย่างก่อนหน้านี้มีการก่อเหตุด้วยระเบิดในพื้นที่ ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา มาแล้ว ทำให้ทหารพรานบาดเจ็บถึง 5 นาย และชาวบ้านถูกลูกหลงบาดเจ็บไปด้วยอีก 5 ราย

สถานการณ์ถึงวันนี้ไม่ต่างจากช่วงจุดไฟใต้ระลอกใหม่เมื่อต้นปี 2547 “ที่ไหนที่มีทหาร พื้นที่นั้นไม่ปลอดภัย” อาจจะผิดแผกไปบ้างที่แต่ก่อนเป้าหมายหลักนอกจากเจ้าหน้าที่รัฐยังมีครู พระ ข้าราชการพลเรือนและประชาชน แต่วันนี้เปลี่ยนเน้นเฉพาะทหาร ตำรวจ และกองกำลังท้องถิ่น เช่น ทหารพราน อส. ชรบ. ผู้นำท้องที่ และสายข่าวเจ้าหน้าที่

เมื่อเป้าหมายของบีอาร์เอ็นแคบลง จึงทำให้มีความเห็นจากหน่วยงานความมั่นคงว่าสถานการณ์ความรุนแรงในชายแดนใต้ดีขึ้น เพราะเหตุร้ายลดลง และส่งผลให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า อ้างได้ว่าประสบความสำเร็จในการดับไฟใต้

นี่ถ้า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องการความสำเร็จมากกว่านี้ควรให้บรรดา “นายพล” บนหอคอยงาช้างที่ส่วนกลางลงความเห็นว่า นอกจากงบประมาณกว่า 400,000 ล้านบาทในเวลา 18 ปีที่เอามาถมชายแดนใต้คุ้มค่าแล้ว ก็ควรออกคำสั่งให้กำลังพลอยู่นิ่งๆ ในฐานปฏิบัติการ ไม่ต้องออกไปไหน รับรองเลยว่าความรุนแรงจะลดลงมากกว่านี้อีก เพราะเป้าหมายโจมตีของแนวร่วมบีอาร์เอ็นหดหายไปมาก

ก่อนหน้าวันที่ 13 มีนาคม 2565 ตรงกับวาระ 62 ปีการสถาปนาบีอาร์เอ็น ได้มีการสร้างสถานการณ์เชิงสัญลักษณ์เพื่อแสดงตัวตนและตอกย้ำอุดมการณ์ โดยแนวร่วมใน 4 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา ได้กระจายกันแขวนป้ายผ้า พ่นสี และปล่อยว่าวที่มีข้อความเพื่อ “เอกราช” ถึงกว่า 50 จุด พร้อมทั้งทำ IO ในโซเชียลมีเดียอีกด้วย

ณ วันนี้ “ปีกการเมือง” ของบีอาร์เอ็นเป็นผู้ที่ครอบครองและควบคุมปฏิบัติการ IO ในโซเชียลมีเดียได้ทั้งหมด และนี่ถือเป็นอีก “จุดอ่อน” ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่ยังคงมะงุมมะงาหราในเรื่องยุทธศาสตร์การสร้างความเข้าใจกับสังคม หรือจะว่าทำได้แบบล้มเหลวมาโดยตลอดก็ไม่ผิดนัก

กลุ่มผู้นำศาสนาเอย กลุ่มสตรีเอย โฆษกชาวบ้านเอย กลุ่มเยาวชนเอย และอีกหลายๆ กลุ่มที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าจัดตั้งขึ้นมา เวลานี้ทุกกลุ่มล้วนยังไม่มีความแก่กล้าที่จะไปต่อกรกับกระทั่งแนวร่วมบีอาร์เอ็นในพื้นที่ได้เลย แต่ทำได้แค่รวมตัวแสดงพลังหน้าอำเภอหรือสถานที่ต่างๆ ตามที่หน่วยงานความมั่นคงต้องการให้ “โชว์ออฟ” เช่น การรวมตัวกันประกาศไม่เอาหรือไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง เป็นต้น

แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่กลุ่มคนเหล่านั้นจะ “กล้าฟันธง” ประณามว่า สิ่งที่แนวร่วมบีอาร์เอ็นกระทำต่อเจ้าหน้าที่และประชาชนเป็นเรื่องที่ผิดหลักศาสนา ถือเป็นฆาตกร และต้องรวมตัวกันขับไล่แนวร่วมบีอาร์เอ็นออกไปจากหมู่บ้าน เพื่อให้เป็นหมู่บ้านปลอดจากการก่อการร้าย

วันนี้ชายแดนภาคใต้จึงยังเห็นสภาพของความเป็น “สังคมคนมือล่าง” ที่จ้องแต่จะรอรับเอาผลประโยชน์ งบประมาณ ตำแหน่งหน้าที่ โดยไม่คิดที่จะเป็น “สังคมคนมือบน” แถมหน่วยงานรัฐไม่เคยมีแผนสร้างสังคมอย่างหลังให้เกิดขึ้น

ดังนั้นจะว่า “สำเร็จ” หรือ “ล้มเหลว” ในมาตรการดับไฟใต้ดูได้ไม่ยาก ไม่ต้องย้อนไปดูตั้งแต่ปี 2547 ให้ยุ่งยากด้วย ให้ดูแค่ยุคปัจจุบันที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ครองอำนาจมาตั้งแต่ปี 2557 และ “กองทัพ” มีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดน่าจะสะท้อนภาพรวมได้ทั้งหมด

ยุครัฐบาลบิ๊กตู่ มีการเปลี่ยนคำเรียกจาก “เจรจาสันติภาพ” เป็น “พูดคุยสันติสุข” มีการตั้งผู้แทนพิเศษของรัฐบาลที่เรียกว่า “ครม.ส่วนหน้า” ที่ให้อดีตแม่ทัพ เลขา ศอ.บต.รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงจาก สมช. และ สขว.ที่เชื่อว่าเป็นผู้เคยรู้เรื่องราวมาร่วมดับไฟใต้กับ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ศอ.บต.

มีการใช้งบประมาณมหาศาลของคณะผู้แทนพิเศษรัฐบาล และมีการเข้าไปปฏิบัติงานที่ซ้ำซ้อนกับงานที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ศอ.บต.ทำอยู่แล้ว เช่น งานด้านเยาวชน ความมั่นคง พหุวัฒนธรรม แม้แต่งานแก้ปัญหา “กล้วยหินเป็นเชื้อรา” เหล่าคณะผู้แทนพิเศษก็ทำมาแล้ว

และที่สำคัญยังมีการตั้ง “กระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้า” หรือหน่วยงานอื่นๆ ที่ใช้คำว่า “ส่วนหน้า” รั้งท้ายคำเรียกขึ้นมามากมายเพื่อแก้ปัญหารากเหง้าของไฟใต้ด้วย

วันนี้ทั้งรัฐบาล กอ.รมน. กองทัพ หน่วยงานเหล่านี้ลองกลับไปทบทวนเถอะว่า ตั้งแต่ปี 2557 ที่ พล.อ.ประยุทธ์ นั่งบริหารประเทศมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและนโยบายดับไฟใต้อย่างไร นอกจากใช้งบประมาณที่มากมายขึ้นมหาศาลแล้ว การที่มีหน่วยงานทำหน้าที่ซ้ำซ้อนทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความสำเร็จบ้างไหม

เอาแค่ผลงานของ “คณะผู้แทนพิเศษรัฐบาล” กับ “กระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้า” หรือกระบวนการ “พูดคุยสันติสุข” เหล่านี้เอามาเผยให้ประชาชนเห็นว่าอะไรคือความสำเร็จได้บ้างไหม เพราะที่ผ่านมาแม้แต่เรื่องของ “กล้วยหิน” ก็ยังแก้กันไม่ได้

หรือว่าการแก้ปัญหาไฟใต้นั้น รัฐบาลและ กอ.รมน.คิดได้เพียง “ขอให้ได้ทำ” ส่วนทำแล้วจะ “ตอบโจทย์” หรือไม่ หรือถือว่า “ประสบความสำเร็จ” หรือไม่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องคิดเอาเอง

เช่นเดียวกับ “สนามบินเบตง” ที่ถึงขั้น พล.อ.ประยุทธ์ บินมาเป็นประธานเปิดให้สายการบินนกแอร์ แต่ยังแทบไม่ทันไรนกแอร์ก็ประกาศยกเลิกเที่ยวบินเพราะไม่คุ้มทุนอย่างหน้าตาเฉย

ใครนะที่บอกว่า “มีสนามบิน ดีกว่าไม่มี” ส่วนมีแล้วจะให้ชาวบ้านใช้เป็นที่ “เลี้ยงแพะ” หรือให้วัยรุ่นเข้าไป “ชักว่าว” เล่นกันอย่างสนุกสนาน นั่นก็แล้วแต่ผู้คนในสังคมจะเห็นอย่างไร

แต่ทั้งหมดทั้งปวงนี้คือการสะท้อนภาพให้เห็นถึง “ความล้มเหลว” ในการดับไฟใต้อย่างเป็นระบบครบวงจร หรือล้มเหลวตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงไปปลายน้ำนั่นเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น