พัทลุง - “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เลขาธิการพรรค พร้อมด้วย “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ เตรียมปักหมุดส่งผู้สมัคร ส.ส.พัทลุง หวังผลักดันนโยบาย และเข้าถึงประชาชน ยกระดับให้เป็นเมืองที่น่าอยู่
วันนี้ (11 ธ.ค.) ที่โรงแรมศิวา ในเขตเทศบาลเมืองพัทลุง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ นายทะเบียนพรรค นำทีมเฟ้นหาว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดพัทลุง ในนามพรรคประชารัฐทั้ง 3 เขต โดยการพบปะผู้นำท้องถิ่น สมาชิกสภาจังหวัด ผู้นำชุมชนกว่า 400 คน ซึ่งเป็นผู้นำชุมชนที่สามารถสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ได้อย่างตรงจุด และเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานที่พรรคพลังประชารัฐ ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เข้าใจคนในพื้นที่ให้มากที่สุด ทำให้วันนี้พรรคสามารถเข้าไปช่วยเหลือผ่านกลไกในหน่วยงานภาครัฐ ในฐานะแกนนำของรัฐบาล จนประสบผลสำเร็จในการขับเคลื่อนนโยบายที่เข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด
ซึ่งในส่วนของจังหวัดพัทลุงได้ดึง นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง เป็นฐานในการวางตัวผู้สมัครทั้ง 3 เขต ซึ่งในวันนี้ได้มีการเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ในนามพรรคประชารัฐแล้ว 1 เขต คือเขต 2 ที่ประกอบด้วย อ.ควนขนุน อ.ป่าพะยอม และ อ.ศรีนครินทร์ คือนายนิติศักดิ์ ธรรมเพชร หรือ “น้องเดียว” ลูกชายคนโตของนายก อบจ.พัทลุง ส่วนเขต 1 และเขต 3 ยังต้องการเฟ้นหาจากกสมาชิกพรรค แต่ได้มีการทาบทามคนเก่ง คนมีความสามารถไว้แล้ว ทั้งนี้ยังต้องรอการเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ผู้นำชุมชนคือจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ เพราะเป็นผู้ที่สะท้อนปัญหาที่จะทำให้เข้าถึง และเข้าใจความเดือดร้อนในชุมชนได้ดีที่สุด ที่พรรคพลังประชารัฐเชื่อว่าเป็นเรื่องที่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยทีม ส.ส.ในพื้นที่ที่มีการทำงานด้วยความตั้งใจ สอดคล้องกับการทำงานเป็นทีมร่วมกับทางพรรคที่จะทำให้เห็นการพัฒนา การเปลี่ยนแปลงเมืองพัทลุงให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ในไม่ช้า
ด้านนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ทุกคนในพรรคพลังประชารัฐ มีความต้องการที่จะร่วมขับเคลื่อนพัฒนาเมืองพัทลุงไปพร้อมกันกับประชาชนในพื้นที่ ด้วยการผลักดันนโยบายที่เป็นรูปธรรมเพื่อประโยชน์ในกลุ่มที่หลากหลาย ตรงความต้องการทั้งในเรื่องของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้สิทธิแต่ละกลุ่มมีความเท่าเทียม และสอดคล้องกับสภาพของแต่ละกลุ่มโดยไม่เลือกปฏิบัติ