ปัตตานี - ชาวปัตตานีวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังเห็นสภาพกำแพงเก่า “วังจะบังตีกอ” ถูกทุบทิ้ง ด้านผู้กำกับดูแลยืนยันทุบทิ้งเพื่อบูรณะซ่อมแซมใหม่ เนื่องจากกำแพงมีสภาพทรุดโทรมจะพังเสียหาย
จากกรณีที่มีการเผยแพร่ภาพการทุบรื้อกำแพง “วังเก่าจะบังตีกอ” โดยไม่รู้สาเหตุ ผ่านทางโลกโซเชียลทางเฟซบุ๊ก จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เนื่องจากวังจะบังตีกอได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของคนเชื้อสายมลายูปาตานี และของพี่น้องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นสัญลักษณ์ชิ้นสุดท้ายที่บงบอกถึงยุคสุดท้ายของการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบบกษัตริย์หัวเมืองมลายู ก่อนที่จะถูกยุบปกครองเป็นรูปแบบมณฑลเทศาภิบาล แล้วมาเป็น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จนตราบทุกวันนี้
จากหลักฐานทางประวัติศาสต ร์พบว่า ในราชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.2445 พระยาแขกเจ้าเมืองตานี ยะหริ่ง สายบุรี ระแงะ รามัน ยะลา และหนองจิก คบคิดขบถรัฐบาล ต้องใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามจนระงับเหตุได้ ต่อมา จึงได้มีการยกเลิกระบบกินเมือง และตั้งมณฑลเทศาภิบาล ซึ่งเป็นการดึงอำนาจของหัวเมืองต่างๆ เข้าสู่ศูนย์กลาง จัดตั้งมณฑลปัตตานี เมื่อ พ.ศ.2449 มีเมืองใหญ่น้อยรวมกัน 7 เมือง คือ ปัตตานี ยะลา ยะหริ่ง ระแงะ รามัน สายบุรี และหนองจิก โดยแต่งตั้งให้พระยาศักดิ์เสนี (หนา) ดำรงตำแหน่งเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลปัตตานี
หลังจากจัดตั้งเป็นมณฑลปัตตานีโดยสมบูรณ์ ได้ยุบหัวเมืองทั้ง 7 เหลือเพียง 4 เมือง คือ ยุบเมืองหนองจิก และยะหริ่งเข้ากับเมืองปัตตานี ยุบรวมเมืองรามันเข้ากับยะละรวมเรียกยะลา ส่วนระแงะกับสายบุรีคงไว้เช่นเดิม กระทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป สอดคล้องกับนโยบายยกเลิกระบบเจ้าเมือง โดยอาศัยช่วงที่เจ้าเมืองคนใดคนหนึ่งถึงแก่อสัญกรรม แล้วไม่แต่งตั้งคนใหม่ทดแทน แต่มีการโยกย้ายยุบรวมตามความเหมาะสม ต่อมา ยุบเมืองระแงะเข้ากับบางนรา แล้วเปลี่ยนชื่อบางนราเป็นเมืองนราธิวาส เมื่อ พ.ศ.2458 ปีต่อมา พ.ศ.2459 โปรดให้เรียกทุกเมืองที่เหลืออยู่เป็นจังหวัด มณฑลปัตตานีตอนนั้นจึงประกอบด้วย 4 จังหวัด คือ จังหวัดปัตตานี จังหวัดนราธิวาส จังหวัดยะลา และจังหวัดสายบุรี จนกระทั่งปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2474 เมื่อมีการประกาศยุบเลิกมณฑลปัตตานี ได้ลดฐานะจังหวัดสายบุรีเป็นอำเภอตะลุบัน
มณฑลปัตตานี แตกต่างจากมณฑลทั่วไป คือ ประกอบด้วยราษฎรหลากหลายเชื้อชาติ ภาษา ขนบธรรมเนียม และศาสนา จึงมีการผ่อนผันเป็นพิเศษให้สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น เช่น ผ่อนผันให้เกณฑ์ชายฉกรรจ์เป็นตำรวจภูธรแทนการเกณฑ์เป็นทหาร เนื่องจากชาวมุสลิมไม่พอใจในการเกณฑ์เป็นทหาร ได้มีการจัดตั้งศาลเป็น 2 ศาล คือ ศาลทั่วไป และศาลสำหรับการพิจารณาคดีศาสนาอิสลาม รัฐบาลยังประกาศยกเว้นการเก็บภาษีบางอย่าง เช่น ภาษีค่านา ค่าราชการ และสรรพภาษีภายใน พ.ศ.2474 มณฑลปัตตานีได้รวมเข้ากับมณฑลนครศรีธรรมราช
ดังนั้น “วังจะบังตีกอ” จึงเต็มไปด้วยความทรงจำของคนมลายูปาตานี ทั้งในแง่ดี และในแง่ของการสูญเสีย แม้จะเป็นเรื่องในอดีตของการเปลี่ยนแปลงการปกครองบ้านเมืองในดินแดนแห่งนี้ ทำให้ความผูกพันสายสัมพันธ์ของวังจะบังตีกอ แยกจากคนมลายูปาตานี และคนเชื้อสายมลายู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้อย่างสิ้นเชิง แม้ปัจจุบันยังคงเหลือแค่สิ่งปรักหักพัง มีเพียงกำแพงวัง ประตูวังในสภาพทรุดโทรมตามกาลเวลาแล้วก็ตาม
ดังนั้น การทุบรื้อถอนกำแพงวังด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม โดยไม่บอกแจ้งล่วงหน้าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากสังคมชาวมลายูปาตานีในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเป็นการตอกย้ำถึงการรังแก และกดขี่ที่อาจไม่สามารถห้ามความรู้สึกเหล่านั้นได้เลย ดังนั้น รัฐบาลต้องรีบเข้ามาดำเนินการแก้ไขให้กลับสู่สภาพเดิมโดยเร็ว เพราะมันเป็นมูลค่าทางโบราณคดี เป็นแหล่งประวัติศาสตร์ที่เป็นสตอรี่ของชายแดนภาคใต้
ล่าสุด นายอัสรี สุทธิศาสตร์สกุล กรรมการมัสยิดรายอจะบังติกอ พร้อมด้วย ผศ.ดร.พรประวีณ์ พุ่มเกิด ผู้อำนวยการสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตปัตตานี นายอุดมศักดิ์ สาริฝีน นายช่างโยธาปฏิบัติทำงานสำนักศิลปากรที่ 11 เข้าพบกับ นายรอซีดี แวดอเลาะ ที่บ้านเลขที่ 34 ตั้งอยู่ภายในรั้ววัง ในฐานะผู้ดูแล และครอบครองพื้นที่วังแห่งนี้ เพื่อสอบถามหารือถึงสาเหตุของการรื้อกำแพงวังในครั้งนี้ เพื่อร่วมหาแนวทางแก้ไข
โดยนายรอซีดี แวดอเลาะ ในฐานะคนที่ครอบครองพื้นที่วังแห่งนี้ได้ยืนยันหนักแน่นว่า รื้อเพื่อบูรณะซ่อมแซมให้กลับมาใหม่อีกครั้ง ไม่ทุบทำลายตามที่ปรากฏในสังคมโซเชียลแต่อย่างใด เนื่องจากกำแพงวังดังกล่าวมีสภาพทรุดโทรมอย่างหนัก ถ้าไม่ทุบรื้อถอนอาจจะพังได้ในระยะ 3-4 วันก็เป็นได้ จึงได้รีบแก้ไขสถานการณ์ และหาช่างมารื้อเพื่อสร้างใหม่ตามสภาพที่เห็น
ด้านคณะที่ร่วมกันหารือได้พูดว่า ทำไมถึงไม่บอกกล่าวหรือแจ้งปัญหาให้ทราบก่อนที่จะมีการทุบทิ้งเพราะยังพอมีแนวทางการแก้ไขได้อยู่ตามหลักวิชาการการดูแลของช่างโยธาโบราณสถาน แต่เมื่อมีความตั้งใจที่จะรื้อบูรณะซ่อมแซม ก็ต้องดำเนินการซ่อมแซมกลับมาให้เหมือนเดิมมากที่สุด โดยเฉพาะในเรื่องวัสดุการก่อสร้างต้องให้เหมือนเดิม เช่น ต้องใช้ปูนขาวหมักเหมือนเดิม เพราะมีสภาพระบายความชื้นได้ดีกว่าปูนซีเมนต์ทั่วไป จึงมีข้อตกลงร่วมกันว่าทางฝ่ายสำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา โดยช่างโยธาฯ จะเข้ามาควบคุมงานบูรณะกำแพงวัง เพื่อให้เป็นไปตามหลักวิชาการโบราณคดี ทางนายรอซีดี แวดอเลาะ จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ โดยจะมีทางสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา อาจร่วมสมทบด้วย
หลังจากยุติในเรื่องการรื้อแล้ว นายรอซีดี แวดอเลาะ ได้นำคณะลงไปดูสภาพกำแพงวังที่ช่างกำลังดำเนินการรื้อถอน เพื่อแนะนำแนวทางที่จะมีการดำเนินการบูรณะให้เป็นไปตามหลักวิชาโบราณคดี ทั้งนี้ เพื่อให้กำแพงกลับมาเหมือนเดิมมากที่สุด ภายหลังจากการบูรณะซ่อมแซมใหม่ในครั้งนี้
ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ปัจจุบันวังเก่าจะบังตีกอแห่งนี้ได้กลายเป็นสตอรี่ เป็นแลนด์มาร์กของ จ.ปัตตานี ที่นักท่องเที่ยวทั้งใน และต่างประเทศที่มาเยือน จ.ปัตตานี จะต้องแวะชมวังเก่าแห่งนี้ จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดชายแดนภาคใต้
ซึ่งประวัติความเป็นมาของชุมชนวังเก่าจะบังตีกอ เป็นวังโบราณของเจ้าเมืองปัตตานี ตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำปัตตานี ตรงสามแยกจะบังตีกอ บนเส้นทางถนนหน้าวัง ซึ่งเป็นถนนลาดยางเลียบแม่น้ำปัตตานี ถนนนี้เชื่อมต่อระหว่างตัวเมือง ซึ่งตั้งต้นจากที่ตั้งของที่ทำการไปรษณีย์ปัตตานี เลียบแม่น้ำปัตตานีไปต่อกับถนนยะรัง เป็นเส้นทางรถยนต์เชื่อมระหว่าง จ.ปัตตานี กับ จ.ยะลา
เจ้าเมืองปัตตานีราชวงศ์กลันตันจะบังตีกอที่ปกครองเมืองปัตตานี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2388-2449 มีทั้งหมด 5 พระองค์ ได้แก่ 1.ตนกูบือซา หรือตนกูมูฮัมหมัด 2.ตนกูปูเต๊ะ 3.ตนกูตีมุง หรือรายอโต๊ะเยาะห์ 4.ตนกูสุไลมานซารีฟุดดิน ไม่ได้ประทับในวังจะบังตีกอ แต่ได้สร้างวังใหม่ทางทิศตะวันออกของวังเก่า ติดกับมัสยิดรายอจะบังตีกอปัจจุบัน 5.ตนกูอับดุลกอเดร์ กามารุดดิน ได้ประทับที่วังใหม่จะบังตีกอ ซึ่งเป็นวังของบิดาเป็นผู้สร้าง แต่ปัจจุบันกลายเป็นที่รกร้าง และเป็นเชื้อสายราชวงศ์กลันตันองค์สุดท้ายที่ปกครองเมืองปัตตานี
สถานที่ฝังศพของเจ้าเมืองทั้ง 5 พระองค์
1.ตนกูบือซา หรือตนกูมูฮำหมัด ศพของพระองค์ไปฝังไว้ ณ สุสานตันหยงดาโต๊ะ (แหลมโพธิ์)
2.ตนกูปูเต๊ะ ศพของพระองค์ฝังไว้ ณ เมืองกลันตัน ประเทศมาเลเซียปัจจุบัน
3.ตนกูตีมุง หรือรายอโต๊ะเยาะห์ ศพของพระองค์ฝังไว้ ณ สุสานกูโบร์โต๊ะเยาะห์ ต.จะบังติกอ อ.เมือง จ.ปัตตานี
4.ตนกูสุไลมานซารีฟุดดิน ศพของพระองค์ฝังไว้ ณ กูโบร์โต๊ะเยาะห์ ต.จะบังติกอ อ.เมือง จ.ปัตตานี
5.ตนกูอับดุลกอเดร์ กามารุดดิน ศพของพระองค์ฝังไว้ ณ เมืองกลันตัน ประเทศมาเลเซียปัจจุบัน
“วังจะบังติกอ” ตั้งอยู่ที่ ต.จะบังตีกอ อ.เมือง จ.ปัตตานี สร้างโดยสถาปนิกชาวจีน ในสมัยตนกูมูฮัมหมัด หรือตนกูบือซา พ.ศ.2388-2399 เชื้อสายราชวงศ์กลันตัน (กำปงลาว์ หรือบ้านทะเล) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองปัตตานี ตั้งวังล้อมด้วยกำแพงทึบ ก่ออิฐถือปูน รูปทรงของวังเป็นบ้านชั้นเดียวขนาดใหญ่ หลังคาทรงปั้นหยา หรือแบบลีมะ ตัวอาคารเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายกพื้นสูง 1 เมตร สร้างด้วยไม้ ภายในอาคารมีห้องโถงขนาดใหญ่ใช้เป็นที่ทำงานของเจ้าเมือง ส่วนด้านหลังของห้องโถงจะเป็นที่อยู่อาศัยของภรรยาและบริวาร วังจะบังตีกอได้ใช้เป็นศูนย์กลางการปกครองในท้องถิ่น และเป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าเมืองปัตตานี จนกระทั่งถึงสมัยตนกูอับดุลกอร์เดร์ เจ้าเมืองคนสุดท้าย ได้มีการยุบเมืองรวมเป็นมณฑลปัตตานี ทำให้วังซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองก็เปลี่ยนสภาพไปกลายเป็นเพียงที่อยู่อาศัยของบุตรหลานสืบต่อมาถึงปัจจุบัน
จนกระทั่งล่าสุด วังเก่าแห่งนี้ครอบครัวของ นายสุรียะ แวดอเลาะ หรือครูซูยี เข้ามาครอบครองมาหลายสิบปีจนถึงปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้กำลังป่วยไม่สบาย เป็นคนไข้ติดเตียงมาระยะหนึ่งแล้ว โดยปกติแล้วเมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางชมวังเก่า ครูซูยีจะคอยทำหน้าที่บรรยายถึงสตอรี่ของวังเก่าแห่งนี้เป็นประจำ จึงทำให้ขณะนี้ นายรอซีดี แวดอเลาะ ในฐานะน้องชาย ต้องมาคอยรับผิดชอบแทนเกือบทั้งหมด