คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ / โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
สัปดาห์นี้มีเรื่องราวสำคัญ 3 ประเด็นที่ต้องนำมาเขียนถึง เพราะมีส่วนเกี่ยวพันกับปัญหาไฟใต้โดยตรง
ประเด็นแรกคือ การที่สภาฯ ผ่าน “ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. ....” ซึ่งเป็นกฎหมายที่รอคอยกันมายาวนาน ถึงขนาดที่ พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทย ได้เคยอภิปรายในสภาฯ ไว้ว่าร่าง พ.ร.บ.นี้ประชาชนใช้เวลารอคอยมาถึง 3 ชั่วคน
สำหรับผู้อภิปรายสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.นี้ได้อย่างยอดเยี่ยมคือ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชาติ นายตำรวจเก่าและเคยเป็นถึงอดีตเลขาธิการ ศอ.บต. ที่รับรู้เรื่องราวการใช้ทั้งกฎหมู่และกฎหมายอย่างไม่เป็นธรรมในชายแดนใต้ อันเป็นเหมือนไฟสุมใจผู้คนที่ได้รับผลกระทบมามากพอควร
ถ้า พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านสภาฯ จนมีบังคับใช้จริงนั่นจะช่วยคลายปมสถานการณ์ไฟใต้ได้อีกเปราะหนึ่งแน่นอน โดยเฉพาะข่าวคราวการซ้อมทรมานและการอุ้มหายที่เคยเกิดขึ้นจะลดน้อยลง เพราะมีกฎหมายบังคับให้รัฐบาลต้องทำตามมาตรฐานสากลที่ได้ไปลงนามไว้
ประเด็นที่สองเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันที่เป็นข่าวฉาวในชายแดนใต้มานานคือ “โครงการติดตั้งเสาไฟฟ้าโซลาร์เซลล์” งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท เหตุเกิดเมื่อครั้ง นายภาณุ อุทัยรัตน์ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ศอ.บต. ซึ่งประชาชนต้องรอคอยมาถึง 3-4 ปีเช่นกันกว่าจะรู้ผลการทำงานของ สตง. และ ป.ป.ช.
ล่าสุด ปปช. ตัดสินว่ามี “ข้าราชการระดับ 7 ใน ศอ.บต.กับภรรยา” ตกเป็นจำเลยร่วมกับ “บริษัท” ที่ชนะประมูลงานการงานติดตั้งโครงการเสาไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ดังกล่าว เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า “เงินหลวง” ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้
ต้องขอบอกว่านอกจาก “เวรกรรม” มีจริงแล้ว “แพะ” ก็มีจริงด้วยเช่นกัน เพราะ ป.ป.ช.ยอมรับว่า คดีนี้สาวไปไม่ถึง “ตัวการใหญ่” ที่มีตำแหน่งสูงกว่าข้าราชการระดับ 7 และภรรยา ผู้ซึ่งเป็นเงาทะมึนบงการอยู่หลังฉากและว่ากันว่าได้ประโยชน์ไปเต็มๆ
ตามกฎหมายต้องบอกว่าผู้ถูกกล่าวหายังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ ต่อสู้โดยหาหลักฐานมาหักล้างข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช.ได้ แต่ก็ให้เป็นห่วงยิ่งนัก เพราะ ศอ.บต.ยุคนั้นไม่ได้ถูกกล่าวหาทุจริตแค่เรื่องเสาไฟฟ้าโซลาร์เซลล์เท่านั้น ยังมีกรณีโครงการอื้อฉาวที่เป็นข่าวไปแล้วอีกมากมาย
โครงการฉาวที่เป็นที่รับรู้ของสังคมวงกว้างอื่นๆ ก็มีอาทิ โครงการก่อสร้าง “สนามฟุตซอล” ที่สร้างแล้วใช้งานไม่ได้หรือถูกทิ้งร้างอย่างไม่คุ้มค่าเป็นจำนวนมาก หรือโครงการจัดซื้อ “ตู้น้ำเทวดา” หรือตู้น้ำดื่มมูลค่าตู้ละครึ่งล้านที่ทุกวันนี้ไม่รู้ว่ายังใช้งานได้อยู่อีกหรือไม่ เป็นต้น
เอาแค่ 2 โครงการฉาวโฉ่หลังนี้ที่ยังรอการชี้ขาดอยู่ว่าจะมีใครที่ทำอะไรไม่ถูกไม่ต้องไว้บ้าง นี่ก็ต้องนับว่าน่าจะทำให้เกิดอาการหนาวๆ ร้อนๆ กันถ้วนหน้าในหน่อยงานที่เกี่ยวข้องอย่างแน่นอน
ประเด็นสุดท้ายคือ เรื่องราวที่เคยกล่าวย้ำไว้บ่อยๆ เกี่ยวกับมีองค์กรจากตะวันตกแทรกแซงไฟใต้ โดยเฉพาะ“คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC)” ที่พยายามจะเข้าไปปฏิบัติงานในชายแดนใต้ในฐานะคนกลางช่วยประสานงานระหว่าง “รัฐไทย” กับ “บีอาร์เอ็น”
แม้ “ไอซีอาร์ซี” จะยอมถอยด้วยการปิดสำนักงานใน จ.ปัตตานี ที่ตั้งมาตั้งแต่ปี 2559 แล้วไปเปิดใหม่ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พร้อมปรับวิธีเดินทางไป-กลับแบบวันต่อวัน ตามข้อเสนอหน่วยงานความมั่นคงที่ไม่ค่อยไว้ใจองค์กรนี้สักเท่าไหร่
เวลานี้ไอซีอาร์ซีกลับยังใช้ “พลเอกนอกราชการ” ทำหน้าที่ “ล็อบบี้ยิสต์” เพื่อให้หน่วยงานความมั่นคงทั้งในระดับ กองทัพภาค กองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงต่างประเทศ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ยอมที่จะผ่อนคลายมากขึ้นอีกหรือได้กลับไปตั้งฐานใน จ.ปัตตานีเหมือนเดิม
พร้อมๆ กับมีการปรับแผนปฏิบัติการทางการเมือง จากที่มุ่งเน้นให้ความรู้ภาคประชาสังคมและกลุ่มผู้เห็นต่าง โดยหันไปทำโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพคนในพื้นที่ชายแดนใต้แทน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะได้เข้าไปปฏิบัติภารกิจที่ต้องการนั่นเอง
ล่าสุด ได้ขอให้ฝ่ายความมั่นคงให้อนุญาตเข้าไปติดตามความเป็นอยู่ของ “ผู้ต้องหา” คดีความมั่นคงในเรือนจำอีกครั้งด้วย ซึ่งในอดีตไอซีอาร์ซีก็เคยทำมาแล้ว และฝ่ายความมั่นคงก็เห็นว่าไม่ถูกต้อง จึงขอให้ยุติบทบาทการเข้าไปหาข้อมูลจากผู้ต้องโทษการเมือง
วันนี้มีสิ่งที่น่าเป็นห่วงยิ่งคือ เพิ่งจะได้ “เลขาธิการ สมช.” คนใหม่ที่มาจากกองทัพคือ พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม ตามบัญชาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ที่ให้ข้ามห้วยมาดูแลเรื่องยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของประเทศ
ที่บอกว่าน่าเป็นห่วงเพราะ สมช.ภายใต้ผู้กุมบังเหียนคนใหม่มีแนวโน้มว่าจะเห็นดีเห็นงามให้ไอซีอาร์ซีเข้าไปทำหน้าที่ “ตัวกลาง” แก้ปัญหาไฟใต้ สังเกตได้จากเวลานี้มีความพยายามให้ “นักวิชาการ” ได้ทำงานวิจัยขึ้นมารองรับว่าบทบาทของไอซีอาร์ซีดังกล่าวจะไม่นำไปสู่ความเสียหายอะไร
เป็นไปได้ที่นักวิชาการจะอ้าง “สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองแบบภายนอก” จะไม่เกิดขึ้น เพราะสงวนไว้ให้ประเทศที่เคยเป็น “เมืองขึ้น” ตะวันตกเท่านั้น ส่วน “สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองแบบภายใน” เป็นเรื่อง “ชนกลุ่มน้อย” ในเลือกทิศทางพัฒนาสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรมแบบไม่เปลี่ยนแปลงอาณาเขตของรัฐ
มีการอ้างในงานวิจัยว่าสถานการณ์ชายแดนใต้เข้าข่ายเป็นความขัดแย้งทางอาวุธที่ไม่ใช่ระหว่างประเทศ โดยเป็นคำนิยามความขัดแย้งในกฎหมายมนุษย์ธรรมระหว่างประเทศที่มีความ “คลุมเครือ” จึงทำให้เกิดการถกเถียงไม่รู้จบ ทั้งนี้การนิยามดังกล่าวไม่สำคัญเท่ากับการแก้ปัญหาอย่างสันติ และเปิดให้ผู้มีส่วนได้เสียร่วมแก้ปัญหา
การที่วันนี้มีฝ่ายที่ 3 ซึ่งหมายถึง “ไอซีอาร์ซี” และอีกทั้งในอนาคตอาจจะมี “เจนีวาคอลล์” ตามเข้ามา รวมถึงองค์กรจากตะวันตกอื่นๆ อีกมากมายที่จะเข้ามาร่วมวงไพบูลย์ในอนาคต
ถ้าไอซีอาร์ซีปักธงในชายแดนใต้ได้ตามข้ออ้างทางวิชาการที่ สมช.สนับสนุน ภายใต้ฉันทานุมัติระหว่างฝ่ายรัฐ ฝ่ายที่สามและคู่ขัดแย้ง ซึ่งภาคประชาคมระหว่างประเทศพึงถือปฏิบัติมาโดยตลอด และประสบความสำเร็จมาแล้วด้วย โดยยกกรณี “อาเจะห์” ในประเทศอินโดนีเซียเป็นตัวอย่างสำคัญ
ดังนั้นจึงมีความสำคัญที่จะต้องชี้ให้เห็นถึง “อันตราย” จากการใช้งานวิชาการรองรับให้ไอซีอาร์ซีเข้าไปปฏิบัติการเป็น “ฝ่ายที่สาม”
เรื่องราวเหล่านี้นำมาเขียนให้รับรู้กันในครั้งนี้ไม่ได้ เพราะหน้ากระดาษที่จำกัด สัปดาห์หน้า ผู้เขียนจะตีแผ่ “เงื่อนงำ” และการ “ขายชาติ” ของบางหน่วยงานที่กลายเป็น “ทาสผู้ซื่อสัตย์” ที่ปล่อยไม่ไป และพยายามเปิดไฟเขียวทุกวิถีทางให้ไอซีอาร์ซีได้เป็น “ฝ่ายที่สาม” หรืออาจจะต้องเรียกว่าเป็น “มือที่สาม” เสียมากกว่า
อันอาจจะถือเป็น “สารตั้งต้น” ของการที่ประเทศไทยเราจะต้องเสียดินแดน “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ในอนาคตก็เป็นได้