xs
xsm
sm
md
lg

คนรุ่นใหม่ในภาวะการเมืองวนลูป

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นัจวา ปุต๊ะ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะศึกษาศาสตร์ ม.อ.ปัตตานี บทความนำเสนอในวิชาการเขียนสำหรับบรรณาธิการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ
เป็นความงดความงามใช่ความชั่ว
อันอาจขุ่นอาจข้นอาจหม่นมัว
แต่ก็เริ่มจะเป็นตัวจะเป็นตน
พอเสียงร่ำรัวกลองประกาศกล้า
ก็รู้ว่าวันพระมาอีกหน
พอปืนเปรี้ยงแปลบไปในมณฑล
ก็รู้ว่าประชาชนจะชิงชัย
(เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์. เพียงความเคลื่อนไหว. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : เคล็ดไทย, 2535.)

ส่วนหนึ่งของบทกวีชื่อว่า “เพียงความเคลื่อนไหว” ประพันธ์โดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ และหนังสือพอกเก็ตบุ๊กในชื่อเดียวกันนี้ยังได้รับรางวัลสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน หรือรางวัลซีไรต์เมื่อปี 2523 ในส่วนของผู้ประพันธ์ยังได้รับยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2536 ที่สำคัญคนจำนวนมากยังยอมรับในชั้นเชิงกวีว่ามีฝีมือระดับบรมครู จนเป็นที่กล่าวขานกันเป็นถึงความเป็นกวีศรีรัตนโกสินทร์

บทกวีเพียงความเคลื่อนไหวของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ชิ้นนี้กล่าวถึงบริบทของเหตุการณ์สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ไทยภาคประชาชนที่มักกล่าวขานกันว่า เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 อันเป็นการลุกฮือขึ้นต่อสู้ของกลุ่มนักเรียน นิสิตและนักศึกษา รวมถึงประชาชนจำนวนมากมายบนท้องถนนเพื่อขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหารของจอมพลถนอม กิตติขจร ในสมัยนั้น ซึ่งก็ดูเหมือนว่าฝ่ายนักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนจะได้ชัยชนะด้วย

เหตุที่นำบทกวีบันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มาเกริ่นนำในไว้ข้างต้น เนื่องจากในปัจจุบันเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันหนาหูว่า สถานการณ์ความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยเฉพาะการต่อสู้ทางการเมืองในประเทศไทยเวลานี้ ดูเหมือนจะละเมียดละม้ายคลายคลึงกับบรรยากาศก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ภาคประชาชนเมื่อครั้งนั้นยิ่งนัก

หรือว่าสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยกำลังจะวนลูปกลับมาเกิดเหตุการณ์เพื่อให้จดจำในหน้าประวัติศาสตร์ภาคประชาชนในลักษณะเดียวกันอีกครั้งแล้ว ทำไมประเทศไทยไม่สามารถก้าวข้ามให้พ้นความวุ่นวายทางการเมืองนี้ไปได้เสียที หรืออาจจะเป็นเพราะคนบางกลุ่มยังหลงใหลอำนาจที่ยื้อแย่งมาอยู่ในมือของตนเอง เมื่อได้มันมาก็ถูกอำนาจกลืนกินความเป็นคนไปจนหมดสิ้น เมื่อถึงคราที่ต้องบริหารชาติบ้านเมืองเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน กลับมักเห็นแก่ประโยชน์ตนและพวกพ้องก่อนเสมอ จนดูเหมือนหลงลืมไปว่าเงินเดือนที่ได้มาจากภาษีประชาชน

“ถ้าการเมืองดี สังคมก็จะดีตามไปด้วย”

ดูเป็นคำง่ายๆ ที่ผู้มีอำนาจน่าจะทำให้เกิดขึ้นได้ แต่ทำไมเกิดขึ้นไม่ได้ในประเทศไทย ความต้องการให้การเมืองดีไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น แล้วทำไมต้องให้มีคนออกมาตั้งคำถามแบบนี้ได้ตลอด เป็นที่น่าสังเกตว่าเวลาผู้คนที่ออกมาตั้งคำถามกลับกลายเป็นคนที่สังคมคิดว่าเพิ่งจะรู้ประสีประสามาได้ไม่นาน หรือบางครั้งอาจจะพูดได้ว่าพวกเขาคือ “คนรุ่นใหม่” ไล่เรียงไปตั้งแต่นักเรียนที่ยังใส่กระโปรงหรือการเกงขาสั้น โตหน่อยก็เด็กใส่ชุดอาชีวะ ชุดนิสิตนักศึกษา หรือผู้เพิ่งจบใหม่ๆ ที่ได้เริ่มทำงานสร้างรากฐานความมั่นคงให้ชีวิตได้ไม่นาน

“คนรุ่นใหม่เพิ่งมาอินการเมืองเหรอ เรื่องแบบนี้ปกตินะ อดทนหน่อยสิ ปรับตัวอยู่กับมันให้ได้สิ สมัยไหนการเมืองมันก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละ อยู่ๆ กันไปเถอะ”

คำกล่าวในลักษณะนี้ดูเหมือนคนรุ่นใหม่จะได้ยินอยู่บ่อยๆ นั่นอาจจะทำให้พวกเขาคิดต่อไปได้ว่า ทำไมคนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ออกมาเรียกร้องเช่นเดียวกับที่พวกเขากำลังทำกัน ซึ่งถ้าหากพวกเขาไม่ลุกขึ้นมาทำให้แล้วจะให้ใครทำ หรือจะยอมปล่อยให้การเมืองไม่ดีได้วนกลับเข้าสู่ลูปเดิมๆ ทำไมคนส่วนใหญ่ของประเทศถึงกลับยังทนในเรื่องแบบนี้ต่อไปได้

การปล่อยให้มันเป็นไปโดยไม่คิดจะออกมาเรียกร้องอะไรเลย นั่นก็เหมือนการทำงานวันละ 8 ชั่วโมง 30 วัน แต่ได้เงินเดือนเดือนละ 9,000 บาท ในขณะที่บางคนทำงาน 2 ชั่วโมง 10 วัน แต่ได้รับเงินเดือนเดือนละ 1,000,000 บาท ยอมให้คนอื่นกัดกินเนื้อในส่วนของตน ยอมบาดเจ็บดีกว่าตาย แต่เด็กรุ่นใหม่นี้เขาจะไม่ยอม แม้จะต้องบาดเจ็บหรือต้องบอบช้ำไปจนตาย

การที่ “คนรุ่นเก่า” มีความคิดว่าคนรุ่นใหม่เพิ่งมาอินกับการเมือง สิ่งนี้ดูจะเป็นคำกล่าวที่ตลกร้ายสำหรับคนรุ่นใหม่เกินไปหรือไม่ เพราะคำกล่าวนี้เกิดจากการเดินทางของกาลเวลาที่คนรุ่นเก่าใช้ชีวิตล่วงเลยการเป็นคนรุ่นใหม่ไปเสียแล้ว แน่นอนคนรุ่นเก่าเคยได้เป็นคนรุ่นใหม่มาก่อน หรือบางครั้งกาลเวลาอาจจะไม่ได้เดินไปข้างหน้าอย่างเดียว แต่บางครั้งกาลเวลาก็กลืนกินความรู้สึกนึกคิดบางอย่างไปหมดสิ้นแล้วเหมือนกัน

จากคำกล่าวของบรรดาคนรุ่นเก่าในทำนองที่กล่าวมาแล้ว ประเด็นนี้ทำให้สังคมอดที่จะฉุกคิดไม่ได้ว่า แท้จริงแล้วคนรุ่นใหม่ไม่ได้เพิ่งจะก้าวออกมามีบทบาทต่อสู้ทางการเมืองแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น แต่คนรุ่นใหม่เคยลุกขึ้นสู้กับเผด็จการที่กลืนกินบ้านเมืองมาอย่างยาวนาน สิ่งที่ยืนยันในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีก็คือจากเหตุการณ์สำคัญๆ ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองภาคประชาชนนั่นเอง เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หรืออย่างเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 กระทั่งเหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี 2535 เป็นต้น

เหตุการณ์สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทยเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่เกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ยอมแพ้ต่อระบบการเมืองที่เขาคิดว่าไม่ดีสำหรับประชาชนทั้งสิ้น หลายๆ เหตุการณ์นำสังคมไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของประชาชน แต่แล้วเหตุใดการเมืองไทยในภาพรวมถึงยังไม่พัฒนาไปอย่างที่สังคมวาดฝัน

ทำไมต้องให้คนรุ่นใหม่ออกมาเคลื่อนไหวกันระลอกแล้วระลอกเล่า เกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นเล่า หรือต้องให้คนรุ่นใหม่บาดเจ็บและบอบช้ำไปจนตายไปอีกกี่รุ่นเล่าการเมืองไทยถึงจะพัฒนา หรือต้องให้คนรุ่นใหม่ออกมาเรียกร้องบนท้องถนนอีกเท่าใด ชาติบ้านเมืองถึงจะเดินหน้าไปสู่การเมืองที่ดี

ดังนั้น หากนำคำกล่าวในทำนองที่ว่า “คนรุ่นใหม่เพิ่งมาอินกับการเมือง” มาให้สังคมช่วยกันพินิจพิจารณาดู สิ่งนี้น่าจะทำให้เข้าใจได้ต้องตรงกันไหมว่าเป็นคำกล่าวที่ผิดเพี้ยนไปจากความจริงพอสมควร เพราะเมื่อดูจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองภาคประชาชนมาต่อเนื่องมานั้น เป็นที่รับรู้แล้วหรือยังว่าล้วนเกิดจากคนรุ่นใหม่ทั้งนั้น แล้วเหตุใดคนรุ่นใหม่จึงถูกดูหมิ่นดูแคลนว่าเพิ่งมาอินการเมือง

ใช่หรือไม่ที่ไม่ว่าจะเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หรือเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 กระทั่งเหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี 2535 ล้วนแล้วแต่เกิดจากความเคลื่อนไหวตั้งต้นจากคนรุ่นใหม่ที่ไม่พอใจในสถานการณ์ทางบ้านเมืองที่ไม่ตอบโจทย์กับยุคสมัย โดยเฉพาะการที่จะให้รัฐบาลขุนทหารบริหารประเทศต่อไปไม่ได้ เป็นการเมืองที่ถูกเผด็จการครอบครองอำนาจที่ไม่ใช่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย

ที่นี้หันกลับมาพิจารณาว่าแท้จริงแล้ว “การเมือง” ในสายตาของคนรุ่นใหม่นั้นคืออะไรกันแน่

ในภาพทั่วๆ ไปที่คนรุ่นใหม่ประสบพบเจอ การเมืองสำหรับแม่ค้าพ่อค้าอาจจะเป็นเรื่องของคนที่เรียนสูงๆ เป็นเรื่องของผู้หลักผู้ใหญ่หรือชนชั้นสูง ลุงป้าน้าอาได้แต่ก้มหน้าก้มตาขายข้าวขายของกันต่อไป หรือคำตอบที่ได้อาจจะเป็นทำนองว่า ไม่อยากไปยุ่งเรื่องการเมืองพวกนี้หรอก

การเมืองสำหรับชาวนาอาจจะเป็นเรื่องของลูกหลานนายทุนที่มีการศึกษา ชาวนาแม้จะมีที่นาหรือไม่มีที่ดินทำกินก็ล้วนแต่ยากจน เช่นนี้แล้วจะให้ชาวนาไปเข้าใจอะไรในเรื่องของการเมืองได้เล่า

การเมืองสำหรับชาวประมงที่ใช้เรือหาปลาขนาดเล็กออกทะเลทำมาหากินมาโดยตลอด การเมืองในจินตนาการของพวกเขาอาจจะเป็นเรื่องของชาวกรุงเทพฯ เป็นเรื่องของคนใส่สูทที่เป็นผู้ทรงเกียรติอยู่ในสภา ซึ่งคนทำประมงพื้นบ้านอยู่กับแต่ทะเลจะไปรับรู้อะไรได้

แท้จริงแล้วการเมืองคืออะไร และใครคือนักการเมือง จากการค้นหาความหมายจากหลายๆ แหล่งนำมาประมวลทำให้พอเข้าใจได้ โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่าการเมืองคือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับรัฐ แผ่นดิน การบริหารประเทศ การคัดสรรนโยบายต่างๆ หรือการควบคุมบริหารราชการแผ่นดิน นี่เป็นนิยามที่อาจารย์วชิรวัชร งามละม่อม จากรั้ววิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต อดีตนักวิจัยสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยามหิดล วิทยาเขตศาลายา

สำหรับพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ได้ให้ความหมายไว้ว่า การเมืองหมายถึงงานที่เกี่ยวกับรัฐหรือแผ่นดิน เช่น วิชาการเมือง ได้แก่วิชาว่าด้วยรัฐ การจัดส่วนแห่งรัฐ และการดำเนินการแห่งรัฐ

หากเปรียบเทียบการเมืองให้คนที่ไม่เข้าใจเพื่อจะได้ให้เข้าใจอย่างง่ายๆ ก็คือ การเมืองเป็นสิ่งรอบตัว การเมืองเป็นเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต การเมืองเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับการดำรงอยู่ของชีวิต ทั้งเรื่องของอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค หรือบางครั้งการเมืองก็เป็นเพชฌฆาตได้ด้วยในเวลาเดียวกัน

ยกตัวอย่างที่ง่ายกว่านี้ เช่น หากเปรียบการเมืองเป็นเหมือน “ดิน” การเมืองเป็นได้ทั้งดินคุณภาพปลูกพืชพันธุ์งอกงามได้เป็นอย่างดี หรือคือดินที่แห้งแล้งจนเพาะปลูกอะไรไม่ได้ เป็นไปได้ทั้งดินที่มีราคาแพงหูฉี่ หรือราคาที่ถูกกดไว้ให้ต่ำเตี้ยมากที่สุด เป็นเรื่องของการจับกุมตายายเข้าคุกเพียงแค่บุกรุกป่าไปหาเห็ดมาประทังชีวิต แต่จะไม่จับกุมผู้ที่มีอำนาจวาสนาที่กระทำการบุกรุกป่า

หากเปรียบเทียบการเมืองเป็นเหมือน “น้ำ” การเมืองจะเป็นน้ำที่ทำให้ชาวประมงจับปลาตัวเล็กๆ หรือจับปลาช่วงฤดูวางไข่ถูกจับกุมคุมขัง แต่จะไม่จับนายทุนที่จับสัตว์น้ำในเขตอุทยาน หรือคนรวยที่สร้างรีสอร์ตหรูล้ำเขตน่านน้ำสาธารณะ รวมถึงไม่สามารถแม้กระทั่งจับโรงงานขนาดใหญ่ของนายทุนข้ามชาติที่ปล่อยน้ำเสียลงในแม่น้ำลำคลอง แต่จะจับชาวบ้านที่ทิ้งขยะลงในสายน้ำธรรมชาติ

หากเปรียบการเมืองเป็นเหมือน “ลม” การเมืองก็จะเป็นลมที่ทำให้ชาวบ้านเผาซังข้าวโพดเพียงเพราะไม่มีเงินจัดจ้างคนจัดการกับมันถูกจับไปดำเนินคดี แต่ไม่จับโรงงานที่ปล่อยก๊าซพิษสู่อากาศ แถมยังนำมาซึ่งฝุ่น PM 2.5 ทำลายสุขภาพผู้คน รวมถึงการเมืองจะไม่ไปตามไล่ล่าบริษัทที่ปล่อยอากาศมากมลพิษทำลายชั้นบรรยากาศซึ่งส่งผลกระทบต่อคนทั้งโลก

หากเปรียบการเมืองเป็นเหมือน “ไฟ” การเมืองก็คือค่าไฟที่ไม่มีวันลดต่ำลงได้เลยแม้ในช่วงเกิดวิกฤตหนักหนาสาหัสในบ้านเมือง หน่วยงานรัฐจะติดตั้งเสาไฟกินนรีในเขตเมืองที่ราคาต้นละหลายแสนก็ทำได้ แต่ไม่ติดตั้งแม้เสาไฟที่ราคาต้นไม่กี่พันบาทในพื้นที่ชนบทไกลปืนเที่ยง หรือการไม่สนใจว่าชาวบ้านเดือดร้อนขนาดไหนจากพิษภัยโรงไฟฟ้าถ่านหิน ขอเพียงมีการตั้งโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มีเบี้ยใบ้รายทางเท่านั้น

ในสายตาของคนรุ่นใหม่แล้วการเมืองจะเป็นอะไรอื่นไปไม่ได้เลย เพราะการเมืองคือเรื่องรอบๆ ตัวของพวกเขานั่นเอง จะว่าไปแล้วแทบทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างล้วนเป็นเรื่องการเมือง รวมถึงการหายใจเข้าและออกก็คือการเมือง การออกกฎหมายกำหนดว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ การบริหารงานให้ประเทศชาติและประชาชนกินดีอยู่ดี การจัดตั้งรัฐสวัสดิการ เหล่านี้ก็คือการเมืองทั้งสิ้น

สำหรับคนรุ่นใหม่แล้วอาจพูดง่ายๆ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ ได้ว่า “การเมือง” ก็คือ “ชีวิต” นั่นเอง

แล้วเหตุใดบ้างชีวิตถึงได้รับแต่ผลประโยชน์จากการเมือง ขณะที่อีกหลายล้านชีวิตกับพบพานแต่ความลำบาก ทุกข์ยากและขัดสน ผู้กุมกลไกอำนาจรัฐบริหารบ้านเมืองอย่างไรถึงได้นำประชาธิปไตยไปรับใช้แต่ระบบทุนนิยม สร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด

การที่บอกว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย หรือนี่เป็นเพียงคำกล่าวที่หวานหู ผู้นำที่ทำหน้าที่บริหารประเทศชาติบ้านเมืองทำได้อย่างที่ประกาศไว้ได้จริงหรือ เพราะหากประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยแล้ว สังคมย่อมต้องมีความเท่าเทียม แต่เหตุใดกลุ่มคนแค่เพียงหยิบมือจึงเอาแต่รวยขึ้นๆ ขณะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศกลับถูกระบอบกลืนกินจนแทบไม่เหลือแม้กระทั่งความเป็นคน

ทำไมสังคมไทยยังปล่อยให้คนส่วนใหญ่ถูกนายทุนบางกลุ่มสร้างความเจ็บใจให้อยู่ตลอด และพวกเขาไม่สามารถเปิดปากพูดอะไรได้ หรือตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เช่น ทุ่มชีวิตปลุกปั้นธุรกิจครอบครัวจนได้สินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นำไปฝากขายในร้านสะดวกซื้อที่มีเครือข่ายยิ่งกว่าใยแมงมุม แต่ไม่กี่เดือนถัดมากลับมีสินค้าลอกเลียนแบบถูกนำมาวางแข่งขันกัน หรือไม่ก็สามารถสอดแทรกเข้าไปเบียดขับตั้งขายแทนที่ได้อย่างที่เจ้าของสินค้าเดิมทำอะไรไม่ได้

เช่นนี้แล้วจะว่าประเทศไทยเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยได้อย่างใดเล่า เพราะนอกจากอำนาจรัฐจะไม่เคยลุกขึ้นมาปกป้องคนส่วนใหญ่ของประเทศแล้ว กลับยังทำทุกอย่างเพื่อเอื้อให้ทุนใหญ่กลืนกินทุนเล็ก แม้จะมีการร้องเรียนถึงการเอารัดเอาเปรียบ แต่ดูเหมือนว่ากลไกอำนาจรัฐแทบจะไม่ใส่ใจอะไรเลย

เรื่องราวเหล่านี้ใช่หรือไม่ที่คนรุ่นใหม่เมื่อได้รับรู้แล้วก็จะไม่ยอมทน ยอมไม่ได้ที่สังคมจะปล่อยให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบคงอยู่ต่อไป ยอมไม่ได้ที่จะเห็นบ้านเมืองมากมายเกลื่อนกลาดไปด้วยความเหลื่อมล้ำ เพราะไม่ใช่เพียงแค่ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมเท่านั้นที่เดือดร้อน ครอบครัวและญาติพี่น้องของพวกเขา หรือกระทั่งตัวตนของคนรุ่นใหม่เองก็ได้รับผลกระทบแทบไม่ต่างกัน

การที่คนรุ่นใหม่ตัดสินใจรวมตัวกันออกไปเคลื่อนไหวต่อสู้ เสียงตะโกนเรียกร้องประชาธิปไตย เสียงและป้ายขับไล่เผด็จการ นอกจากต้องการให้สังคมได้รับรู้ความหมายตรงตามที่เปล่งเสียงและเขียนออกไปแล้ว คนรุ่นใหม่ยังเข้าใจได้ว่าสิ่งต่างๆ ล้วนโยงใยเชื่อมต่อได้กับการต่อสู้เพื่อปลดแอกจากความไม่เท่าเทียม ความไม่เป็นธรรม หรือการถูกเอารัดเอาเปรียบต่างๆ นานาดังที่บอกเล่ามาแล้วด้วยทั้งสิ้น ซึ่งก็คือบทบาททางการเมืองที่คนรุ่นใหม่แสดงออกมาให้เห็น

จะว่าไปแล้วสังคมอาจสงสัยว่า คนรุ่นใหม่ในปัจจุบันนี้คือใคร ทำไมถึงต้องไปแสดงออกถึงบทบาททางการเมือง หากจะกล่าวโดยสรุปคงได้ว่าคนรุ่นใหม่คือเด็กที่เกิดในบั้นปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ต่อเนื่องถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 พวกเขาคือคนที่เกิดมาพร้อมเทคโนโลยีในยุคโลกาภิวัตน์ เกิดมาพร้อมความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ เกิดมาในสภาพแวดล้อมสิ่งต่างๆ จัดว่าสมบูรณ์กว่าคนรุ่นก่อน

ความสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อมที่ว่านี้สะท้อนผ่านระบบการคมนาคมขนส่ง รวมไปจนถึงเครื่องมือเครื่องใช้ที่สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีในยุคดิจิทัล สิ่งเล่านี้ล้วนเอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตสมัยใหม่ แต่แปลกมากที่ผู้บริหารชาติบ้านเมืองกลับไม่สามารถนำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไปก่อประโยชน์ต่อการนำพาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้ โดยเฉพาะให้เกิดการพัฒนาภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย

แต่แปลกไหมทำไมระยะเวลาต่อเนื่องหลายปีมานี้ ประเทศไทยกลับต้องเผชิญกับวิกฤตต่างๆ มากมาย สภาพสังคมถูกทำให้ทับถมมากมายไปด้วยปัญหาต่างๆ นานา เศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่อง สถาบันสำคัญทางสังคมล้วนอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด หรือดูๆ ไปแล้วชาติบ้านเมืองถูกทำให้ผิดเพี้ยน อันนำมาซึ่งความล้มเหลวอย่างเห็นได้ชัดแก่สายตา

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมจึงต้องห้ามไม่ให้คนรุ่นใหม่ใช้สิทธิลุกขึ้นทักท้วงหรือทวงถามว่า ทำไมจึงต้องหาทางปิดกั้นการกระทำของคนรุ่นใหม่ การที่คนรุ่นใหม่ไม่เพิกเฉยต่อปัญหาบ้านเมืองเป็นเรื่องที่ดี การที่คนรุ่นใหม่ออกมาแสดงบทบาททางการเมืองเป็นเรื่องที่สังคมควรยอมรับให้ได้ไม่ใช่หรือ ทั้งนี้บทบาทของคนรุ่นใหม่ได้ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยอย่างเหมาะสมแล้วนั่นเอง

เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน ผู้นำที่นั่งบริหารราชการบ้านเมืองก็ควรต้องเปลี่ยนตาม แต่ผลงานที่สังคมได้เห็นก็เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าเวลานี้บ้านเมืองย่ำแย่แบบแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แม้วันเวลาจะผ่านไปกี่ปีแล้วก็ตาม กลุ่มผู้บริหารบ้านเมืองก็ยังสวมชุดนายทหารซ้ำๆ ซากๆ โดยยังคงวนเวียนเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง นักการเมืองเองก็ยังคงสร้างปัญหาให้บ้านเมืองได้อย่างสม่ำเสมอ

หลายๆ ครั้งที่คนรุ่นใหม่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องทางการเมือง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมต้องการเห็นการบริหารบ้านเมืองให้เป็นตามคำกล่าวของ อับราฮัม ลินคอลน์ (Abraham Lincoln) อดีตประธานาธิบดีคนที่ 16 ของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ว่า “รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน”

อับราฮัม ลินคอล์น เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา เริ่มดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ.1861 จนถึงปี ค.ศ.1865 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศเข้าสู่ช่วงวิกฤตจากสงครามกลางเมือง (Civil War) แต่เขาสามารถนำรัฐฝ่ายเหนือชนะรัฐฝ่ายใต้ในสงครามกลางเมือง จนเป็นผลให้เกิดการเลิกทาสในประเทศได้สำเร็จ

สำหรับคนรุ่นใหม่กับการเมือง การเมืองของคนรุ่นใหม่จึงดูจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นควบคู่กันไปตลอดเวลาและทุกยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หรือเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 รวมถึงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 เหตุการณ์เหล่านั้นได้แสดงให้ประจักษ์ต่อสายตาปุถุชนแล้วว่า คนรุ่นใหม่กับการเมืองเป็นของคู่กัน

โดยทั้ง 3 เหตุการณ์ดังกล่าว คนรุ่นใหม่คือหัวแถวแนวหน้าในการนำขบวนประชาชนลงถนนไปตะโกนขับไล่จอมเผด็จการทหาร ซึ่งต่างก็ได้อำนาจรัฐมาจากปากกระบอกปืนเหมือนๆ กัน ภาพจำของสังคมต่อเหตุการณ์ในอดีตมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาพเสื้อสีขาวของคนรุ่นใหม่เปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดงฉาน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง เส้นเชือก ต้นไม้ ร่างไร้ชีวิตที่ถูกนำไปห้อยให้ทิ้งตัวลงตามแรงโน้มถ่วง เก้าอี้แกว่งไกว เสียด่าทอของผู้ใหญ่ เสียงหัวเราะของเด็ก

การต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ในอดีตรวมแล้วมีผู้ที่ต้องได้รับบาดเจ็บนับพันราย ขณะที่มีผู้ต้องสิ้นลมหายใจและสูญหายแบบไร้ร่องรอยอีกหลายร้อยชีวิต สำหรับบทสรุปการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่สมัยนั้นแล้ว มีทั้งที่ดูเหมือนได้รับชัยชนะและเป็นการพ่ายแพ้ได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งนี่เองหรือไม่ที่กลายเป็นผลต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันนี้ คนรุ่นใหม่ในสมัยนั้นได้กลายเป็นคนรุ่นเก่า แล้วก็มีลูกหลานที่เป็นคนรุ่นใหม่ในเวลานี้ลุกขึ้นมารับไม้เคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองอยู่ในวันนี้

ดังนั้น จึงต้องถือว่าคนรุ่นใหม่ของยุคสมัยนี้ไม่ใช้คนที่ไม่ประสีประสาทางการเมือง พวกเขาเกิดและเติบโตในยุคเทคโนโลยีล้ำสมัย เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสก็สามารถเสาะแสวงหาความรู้จากข้อมูลข่าวสารได้อย่างคล่องแคล่ว คำสบประมาทที่เพิ่งจะอินกับการเมืองจึงเป็นเรื่องไม่น่าจะถูกต้อง และบทบาททางการเมืองที่พวกเขาแสดงออกก็น่าจะเหมาะสมกับยุคปัจจุบัน

ดังนั้น การเมืองจึงไม่ใช่เรื่องของคนรุ่นเก่าเท่านั้น การเมืองเป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ด้วย เพราะการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ทั้งของคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่า

“คนรุ่นใหม่” และ “การเมือง” อาจเป็นคำพูดที่เกิดควบคู่กันไปอีกหลายสิบปี หรืออาจจะหลายร้อยปีข้างหน้า หากการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ ยังไม่ได้รับการแก้ไขและพัฒนาให้สอดรับกับสภาพสังคมที่เหมาะสมกับยุคสมัย สุดท้ายแล้วการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ก็จะยังคงอยู่ต่อไปอีกนานเท่านาน หากคนรุ่นใหม่ในเวลานี้ไม่สามารถที่จะทำ “ให้มันจบที่รุ่นเรา” ได้ตามที่ประกาศไว้


กำลังโหลดความคิดเห็น