xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อคนรุ่นเก่าควงแขนคนรุ่นใหม่เดินฝ่าฝูงสุนัข

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หัฏฐกาญจน์ สุวลักษณ์ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะศึกษาศาสตร์ ม.อ.ปัตตานี บทความนำเสนอในวิชาการเขียนสำหรับบรรณาธิการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มคนที่มีผลประโยชน์ขัดกัน ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่สังคมไหนๆ ก็มีกันทั้งนั้น แต่ที่น่าจะไม่ธรรมดาเอาเสียคือ บางครอบครัวถึงขั้นมีการประกาศสงครามขนาดย่อมๆ บนโต๊ะอาหาร เมื่อผู้อาวุโสมากและผู้อาวุโสน้อยมีความเห็นต่างกัน หรือไม่ก็ชื่นชอบคนละขั้วการเมือง ส่วนมากฝ่ายหลังจะถูกหว่านล้อมให้ต้องยอมโอนอ่อนตาม แต่ถ้าไม่เป็นผลอาจมีการขับพ้นเรือนชานและเป็นข่าวให้เห็นแล้วด้วย

“เดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด”

สำนวนนี้ถือว่าสุดคลาสสิกมาก คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยต้องเคยได้ยินมาบ้างตั้งแต่เมื่อครั้งตัวเท่าลูกสุนัข จนตอนนี้ตัวใหญ่กว่าพ่อแม่สุนัขไปแล้วหลายเท่า แต่คนรุ่นใหม่หลายคนก็ยังคงได้ยินได้ฟังคนรุ่นเก่าพร่ำสั่งสอนด้วยคำกล่าวนี้อยู่ดี

ยิ่งในเวลานี้ที่สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองเข้มข้นและบีบรัดหัวใจผู้คนในสังคม เมื่อคนรุ่นใหม่ได้ยินคำกล่าวนี้จากริมฝีปากคนรุ่นเก่า จึงมักจะเกิดคำถามและความสงสัยขึ้นตามมาทุกครั้งไปว่า ทำไมต้องให้เด็กๆ เดินตามผู้ใหญ่ ถ้าเดินตามแล้วสุนัขจะกัดผู้ใหญ่ หรือว่ากัดเด็กๆ ก่อน

สำหรับคนรุ่นใหม่หลายๆ คนอาจเพิ่งจะมาเข้าใจความหมายของคำกล่าวข้างต้นก็เมื่อโตจนสุนัขเลียก้นไม่ถึงแล้ว คำกล่าวนี้เป็นสำนวนที่ใช้เพื่อการเปรียบเทียบแบบให้ความหมายโดยอ้อม ไม่ใช่ให้แปลความตรงตามภาษาเขียนไว้อย่างนั้น

สำนวนนี้สอนให้คนรุ่นใหม่ปฏิบัติตามแบบหรือเดินตามแนวทางของคนรุ่นเก่า และผู้อาวุโสบางท่านใช้สิ่งต่างๆ ที่พวกท่านเคยปฏิบัติเป็นกรอบเป็นกฎเกณฑ์ในการจำกัดพฤติกรรมผู้มีอายุน้อยกว่า ประมาณว่ายอมทำตามเถอะ แล้วจะไม่อดตาย หรืออย่าเหไปจากเส้นทางนี้เลย ไม่อยากประสบความสำเร็จหรอกหรือ อะไรประมาณนี้ และสิ่งนี้เชื่อว่าน่าจะทำให้เกิดการจุดประกายความคิดในตัวคนรุ่นใหม่ขึ้นมาทำนองว่า ถ้าไม่ทำตามคนรุ่นเก่าก็ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นกับคนรุ่นใหม่

จริงหรือไม่ที่คนรุ่นใหม่ในเวลานี้ต่างเชื่อกันว่า กรอบมีไว้ให้แหก กฎมีไว้ให้ฝ่าฟัน ระเบียบมีไว้ให้ขัดขืน สิ่งที่ถูกห้ามหรือถูกสั่งสอนให้ทำตาม สิ่งนั้นจะเป็นดั่งเชื้อเพลิงขนานดีในการกระตุ้นในการอยากรู้ อยากลอง อยากทำอะไรด้วยตนเองขึ้นมาแบบไม่ต้องมีโซ่หรืออะไรมาล่ามตรึง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผู้อาวุโสที่บ้านนิยมชมชอบห้ามปรามลูกหลานไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวประเด็นทางการเมืองด้วยแล้ว สิ่งนี้ก็อาจจะเป็นสิ่งท้าทายชั้นดีเลยก็ว่าได้

ผู้เป็นใหญ่ในบ้านดังที่กล่าวมาแล้วนั้นไม่ได้จะอ้างอิงจากการเรียกของคุณพ่อบ้านแม่บ้านใจกล้าแต่อย่างใด แต่เป็นการบอกเล่าถึงบรรดาคนมีอายุทั้งหลายที่อาศัยในครอบครัวก็ดี หรือแม้กระทั่งอาศัยอยู่รอบๆ แบบคนบ้านใกล้เรือนเคียงก็ดี ไม่ว่าจะมีศักดิ์เป็นปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา หรือบรรดาเครือญาติอื่นๆ ก็ตาม ซึ่งมักจะมีคำพูดติดปากทำนองว่า

“ไม่ต้องไปยุ่งหรอกในเรื่องการเมืองน่ะ มันไม่ใช่เรื่องของเด็ก แกอายุยังน้อยจะไปยุ่งอะไรกับเขาทำไม”

ความจริงแล้วกับคำเรียกขานคนรุ่นใหม่ระดับเป็นถึงนิสิตหรือนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยว่า “เด็ก” นี่คงต้องบอกว่าแต่ละคนอายุเลยตัวเลข 18 ปี หรือหลายคน 20 ปีบริบูรณ์ไปแล้ว อายุขนาดนี้นอกจากคำว่า “พี่” ที่มักได้ยินกันทั่วๆ ไปก็อาจจะมี “ป้า” หรือ “ลุง” ผสมผสานเข้าไปด้วย อย่างนี้แล้วเมื่อไหร่กันเล่าที่พวกเขาถึงจะโตพอได้ลงไปคลุกคลีในเรื่องการเมืองที่ถูกห้ามปรามไว้

ยิ่งถ้าเป็นนิสิตหรือนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักมีพื้นเพเป็นคนชนบทหรือที่คนภาคใต้ชอบเรียกกัน “พวกในหมง” ด้วยแล้ว การที่จะต้องทำหรือปฏิบัติตามผู้ใหญ่นั้นถือได้ว่าเป็นอันดับต้นของแนวคิดหรือความเชื่อตามขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมของคนนอกเมืองเลยก็ว่าได้

เมื่อถูกปลูกฝังเด็กๆ หรือเหล่าลูกหลานทั้งหลายให้ต้องปฏิบัติตาม ถึงแม้จะไม่ปฏิบัติเต็มร้อย แต่รากฐานความคิดและความเชื่อก็ยังมีสิ่งเหล่านี้ครอบงำกดทับอยู่ คนที่มีความคิดแหวกแนวที่ผ่าเหล่าผ่ากอได้นั้น ส่วนใหญ่จึงเป็นคนที่ต้องถีบหรือดันตัวเองขึ้นไปสู่ทำงานและการสร้างครอบครัวอยู่ในเมือง แล้วเกิดอาการเบื่อหน่ายจึงอยากย้อนกลับสู่เหง้าของตนเอง

จึงนับเป็นการดีไม่น้อยที่ครอบครัวไหนจะมีผู้ใหญ่เคยไปอาศัยอยู่ในเมืองหลวง แล้วอพยพโยกย้ายกลับมาอยู่บ้านนอกที่เป็นรากฐานเดิม เพราะปัจจุบันถือว่าชนบทคอยเป็นหลังยันให้ผู้คนที่ตัดสินใจบอกลาชีวิตแสนวุ่นวายในเมืองหลวงได้เป็นอย่างดี จึงเชื่อว่าคนรุ่นเก่าเหล่านี้เองที่จะคอยสนับสนุนความคิดเห็นให้คนรุ่นใหม่ในครอบครัว การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเมืองในครัวเรือนจึงสามารถทำได้ค่อนข้างดี

โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในยุคปัจจุบัน ซึ่งมีคนรุ่นใหม่ในสังคมได้ร่วมกันลุกขึ้นต่อสู้กับบรรดาผู้นำหัวอนุรักษนิยมอย่างเป็นที่เห็นได้ชัด และข้อมูลข่าวสารเหล่านี้เองที่ทำให้ผู้อาวุโสในครอบครัวทั้งหลายต่างเอือมระอา และพาลเอาทำให้หงุดหงิดเอากับความคิดเห็นของบรรดาคนรุ่นใหม่ภายในบ้านขึ้นได้ จนในที่สุดอาจจะกลายเป็นปัญหาเกี่ยวพันพะรุงพะรังในครอบครัวกันไปหมด

ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจในศัพท์ที่ปรากฏขึ้นในสังคมยุคปัจจุบันเสียก่อน เพื่อเป็นการทำความเข้าใจร่วมกัน และเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนมึนงง

โดยเริ่มจากศัพท์คู่แรกคือคำว่า “แนวคิดอนุรักษนิยม” และ “แนวคิดเสรีนิยมใหม่”

สำหรับแนวคิดแรกคือ แนวคิดแบบอนุรักษนิยม หมายถึง แนวคิดที่มุ่งรักษาความเชื่อและคุณค่าแบบเก่า เป็นแนวคิดที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง อยากที่จะดำรงไว้แบบห้ามไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงใด เพราะกลัวว่าเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่นิดเดียวของเดิมที่มันดีอยู่แล้วจะเสียหายไป

ส่วนแนวคิดหลังคือ เสรีนิยมใหม่ หมายถึง ให้ความสำคัญกับเสรีภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ โดยมุ่งให้ทุกคนต้องมีเสรีภาพทางการพูด การแสดงความคิดเห็น โดยรัฐไม่มีสิทธิเข้าไปลิดรอนสิทธิขั้นพื้นฐาน ถ้าเสียงใหญ่เห็นพ้องต้องกัน รัฐบาลก็ต้องปฏิบัติตาม ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดแรกอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อทั้งสองแนวคิดมีความเป็นขั้วตรงข้ามกันอย่างแทบไม่ต้องสงสัย ผู้ที่ยึดถือเอาแนวคิดของแต่ละขั้วมาใช้ก็จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายที่มักจะขัดแย้งกันอย่างชัดเจน หากเปรียบเทียบกับยุคสมัยปัจจุบันในสังคมที่กำลังปรากฏชัดคือ ฝ่ายหนึ่งจะถูกเรียกว่า “กลุ่มคนรุ่นเก่า” และอีกฝ่ายหนึ่งจะถูกเรียกว่า “กลุ่มคนรุ่นใหม่”

โดยคำว่า “คนรุ่นเก่า” นั่นก็หมายความได้ว่าเป็นกลุ่มคนที่ยึดในระเบียบแบบแผนเก่าๆ ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง ยึดในแนวคิดของการอนุรักษนิยม ส่วนคำว่า “คนรุ่นใหม่” หมายความได้ถึงกลุ่มคนที่พร้อมและต้องการให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับประเทศ โดยหวังให้อะไรต่อมิอะไรมีการพัฒนาไปข้างหน้า ไม่ใช่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดค้างอยู่ที่เดิมหรือไม่ก็อาจจะถดถอยลงคลองกว่าเดิมด้วยซ้ำ

เมื่อตัวแทนของทั้งสองฝ่ายมาอยู่ใกล้กัน นั่นย่อมจะนำพาให้เกิดการทะเลาะกันอยู่ร่ำไป ฝ่ายคนรุ่นเก่าเอาแต่ปิดใจไม่ยอมรับฟัง พร้อมๆ กับคอยกดดันไม่ให้สมาชิกในบ้านมีความฝันถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆ ขณะที่ผ่ายคนรุ่นใหม่มากมายความฝัน มีความต้องการแกร่งกล้าที่จะต้องผลักดันให้ประเทศไปเคลื่อนไปข้างหน้าให้ได้ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นภายในบ้านคนบางส่วนก็ต้องยอมแพ้ เพราะไม่อยากมีปัญหากับคนที่ตนรัก ต้องข่มต้องกดความต้องการนั้นเอาไว้

อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ยอมแพ้ทั้งหมด เพราะยังมีคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจในปัญหาบ้านเมืองและพร้อมที่ต่อสู้ ดังกรณีที่มีภาพของคนรุ่นใหม่ในกรุงเทพมหานครจำนวนมากออกมาแสดงความใส่ใจในปัญหาบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังมากมายความเหลื่อมล้ำ

สำหรับประเด็นนี้ได้จุดประกายความกล้าหาญให้สว่างวาบขึ้นในใจ “คนรุ่นใหม่ในภาคใต้” ขึ้นมาด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะกับนักเรียน นิสิตหรือนักศึกษาในภาคใต้หลายคนถึงขั้นพังทลายความอดทนต่อคำตักเตือนในทำนองข่มขู่กดทับภายในครอบครัวเอาเลยเสียด้วย

การจุดประกายความกล้าหาญของคนรุ่นใหม่ หรือการไม่ยอมทนต่อคนรุ่นเก่า โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้ทางการเมืองนั้น เวลานี้ได้เปรียบได้กับไฟลามทุ่งที่แผ่ขยายและกินพื้นที่ไปแล้วอย่างมาก จากเคยเป็นประกายไฟหย่อมเล็กๆ ในกรุงเทพฯ ได้กลายเป็นการสุมไฟกองใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในพื้นที่ต่างจังหวัด อย่างในหลายจังหวัดภาคใต้เองก็มีการรวมกลุ่มกันของคนหลายช่วงวัยที่ส่วนมากก็ตัวใหญ่กว่าสุนัขแล้วทั้งนั้น

สถานการณ์เช่นนี้ก่อให้เกิดพลังแห่งความกล้าของคนในยุคใหม่ ยุคที่ผู้คนกล้าที่จะออกมาเรียกร้องหาความเป็นธรรมและความเท่าเทียมด้านต่างๆ กล้าที่จะส่งแห่งการไม่ยอมที่จะตกอยู่ในอาณัติของเผด็จการหัวอนุรักษนิยม กล้าที่จะแหกกรงขังหรือปลดโซ่ตรวนที่เคยถูกคนรุ่นเก่าล่ามตรึงเอาไว้ ซึ่งแตกต่างจากอดีตที่บรรดารุ่นพ่อแม่ไม่มีความกล้าพอที่จะลงมือทำหรือส่งเสียงใดๆ ในเรื่องราวทางการเมืองแบบนี้มาก่อน

นั่นก็คือเวลานี้คนรุ่นใหม่จำนวนมากมายนักที่รวมตัวกันออกมาขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้พ้นออกไปจากตำแหน่งผู้นำประเทศ เพราะไม่พอใจในการบริหารงานที่ไม่สามารถนำพาประเทศชาติฝ่าฟันให้พ้นไปจากวิกฤตต่างๆ ที่รุมเร้าอยู่รอบทิศไปได้

ความจริงแล้วเหตุการณ์ลักษณะนี้เคยเกิดมาหลายครั้งแล้ว ถ้านับจากช่วงวัยที่รู้ความของคนรุ่นใหม่ที่ปัจจุบันมีอายุระหว่าง 20-40 ปี ซึ่งคนรุ่นนี้ได้พบเห็นเหตุการณ์สำคัญๆ ในหน้าประวัติศาสตร์ทางการเมืองภาคประชาชนมาแล้วอย่างต่ำ 3-5 เหตุการณ์ใหญ่ๆ ไม่ต้องพูดถึงช่วงอายุของคนที่มากกว่านั้นที่คุ้นเคยกับเหตุการณ์บ้านเมืองมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ที่ผ่านมา สถานการณ์ในทางการเมืองแบบนี้ยังวนลูปเหมือนวัฏจักรที่ไม่สิ้นสุด

ที่ผ่านมา คนรุ่นเก่าจำนวนมากรู้เท่าทันการสืบทอดอำนาจทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ตั้งต้นมาจากการเอากระบอกปืนทำรัฐประหารยึดอำนาจไปจากรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็มักจะทำทุกวิถีทางเพื่อปิดหูปิดตาผู้คนในสังคม ไม่เฉพาะปิดหูปิดตาตัวตนเองไม่ให้เห็นสิ่งบาดใจเท่านั้น กลับยังเผื่อแผ่ไปปิดตาถึงคนรุ่นลูกรุ่นหลานไม่ให้เห็นอะไรที่ไม่ดีงามในบ้านเมืองเพราะฝีมือพวกเขาอีกด้วย

แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะพยายามบอกกับประชาชนว่าความคิดเห็นของตนเองเป็นกลาง แต่ก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เพราะไม่สนใจว่าสถานการณ์ความขัดแย้งได้ก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมามากมาย หากเปรียบเป็นคลื่นมรสุมกัดเซาะชายหาด ยิ่งปล่อยไว้หาดทรายก็ยิ่งพัง อีกทั้งถ้ามีมรสุมรุมเร้าเข้ามาอีกหลายๆ ลูก ระลอกคลื่นก็ยิ่งซัดยิ่งเซาะชายฝั่งรุนแรงขึ้นแบบไม่หยุดยั้ง แต่นี่เป็นเรื่องของปัญหาบ้านเมือง ถ้าปล่อยไว้นานวัน หากผู้คนในสังคมยังนิ่งเฉย ประเทศชาติยิ่งแย่แน่ ในที่สุดแล้วประเทศไทยอาจจะเหลือเพียงชื่อที่เคยลือนามก็เป็นไป

อีกทั้งการที่คนรุ่นเก่าออกมาทวงบุญคุณต่อคนรุ่นใหม่ โดยหยิบยกเอาประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหามาพร่ำบ่นให้คนรุ่นใหม่ต้องมีความกตัญญูกตเวทีต่อผืนแผ่นดิน นั่นอาจจะเป็นเพราะคนรุ่นเก่ากังวลและกลัวที่จะสูญเสียอำนาจใช่หรือไม่ หรือการที่ออกมาบอกว่าคนรุ่นใหม่ชังชาติ เด็กรุ่นใหม่ไม่รักชาติ แต่แท้จริงแล้วชาติที่กล่าวถึงนั้นมีความหมายเช่นไร ซึ่งในยุคสมัยนี้ชาติถูกตีความในความหมายใหม่แล้วว่าคือประชาชนใช่หรือไม่

แท้จริงแล้วคนรุ่นเก่าควรต้องเปิดอกเปิดใจที่จะรับฟังในสิ่งที่คนรุ่นใหม่คิดและได้พูดออกมา อยากให้คนรุ่นเก่าได้ลองฟังมุมมองของคนรุ่นใหม่ดูบ้าง เนื่องจากช่วงวัยที่มีความห่างไกลกันนั้น คนรุ่นเก่าเปรียบได้เหมือนการได้นั่งรถยนต์จากแผ่นดินปลายด้ามขวานของปัตตานีขึ้นไปยังเมืองหลวง ยิ่งระยะไกลที่ห่างไกลกันเท่าไหร่ การได้เห็นเหตุการณ์รายทาง การได้เก็บซับภาพประทับใจ คงไม่ต่างจากการได้ใช้ชีวิตจนเกิดมีความคิด มีมุมมองและค่านิยมเก็บสะสมไว้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้นำมาสู่ประสบการณ์ที่แตกต่างกัน

ส่วนคนรุ่นใหม่เองก็ควรตั้งสติ ระงับความร้อนแรงหรืออารมณ์ความรู้สึกด้านลบลงบ้าง หันไปพูดด้วยเหตุผลกับคนรุ่นเก่าด้วยเหตุผล พยายามชักชวนให้คนรุ่นเก่าลองหันมามองมาคิดแบบคนรุ่นใหม่ดูบ้าง ยกเหตุผลทีละประเด็นมาอธิบาย พยายามขจัดข้อโต้แย้ง อย่าได้บุกทะลวงหรือโยนความคิดความต้องการไปในหนเดียวแล้วก็เลิกกัน เพราะช่วงวัยที่ต่างกัน จึงอาจมีความคิดข้อยึดติดในสิ่งที่ไม่เหมือนกัน การที่อายุน้อยกว่าไม่ควรตอบโต้โดยการเถียงหรือแย้งไปตรงๆ เพราะสิ่งที่จะได้ตอบแทนอาจมีแค่การทะเลาะกันจนไม่สามารถที่จะพูดคุยกันอย่างเข้าใจได้

ในเรื่องของช่วงวัยที่แตกต่างกันนั้น มีผู้รู้จัดกลุ่มแบ่งแยกไว้อย่างเป็นที่ยอมรับกันแล้วตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเรียกว่าเป็นเจเนอเรชัน (Generation) ต่างๆ เริ่มจากใช้ในความหมายถึงรุ่นของคนในครอบครัว ต่อมาคาร์ล แมนไฮมน์ (Karl Mannheim) ตีพิมพ์ผลงานชื่อ The Problem of Generations ในปีคริสต์ศักราช 1923 อธิบายว่า หมายถึงคนทั่วไปที่ได้รับอิทธิพลจากบริบททางสังคมและวัฒนธรรมในช่วงเวลาหนึ่งๆ หรือเติบโตขึ้นท่ามกลางเหตุการณ์สำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์ก็จะมีลักษณะบางอย่างร่วมกัน และลักษณะที่ว่านั้นก็ได้กำหนดอนาคตทางสังคมต่อมาด้วย ซึ่งตรงกับความหมายที่ใช้กันอยู่ในในปัจจุบัน

สำหรับปัจจุบันคือในปี 2564 นี้มีการกล่าวถึงช่วงวัยสำคัญๆ ประกอบด้วย 1.เจเนอเรชันบี หรือเบบี้ บูมเมอร์ (Generation B หรือ Baby Boomer) คือคนที่เกิดตั้งปี 2507 หรืออายุ 57 ปีขึ้นไป 2.เจเนอเรชันเอ็กซ์ (Generation X) คนที่เกิดระหว่างปี 2508-2519 หรืออายุระหว่าง 45-56 ปี 3.เจเนอเรชันวาย (Generation Y) คนที่เกิดระหว่างปี 2520-2537 หรืออายุระหว่าง 27-44 ปี 4.เจเนอเรชันซี (Generation Z) คนที่เกิดระหว่างปี 2538-2552 หรืออายุระหว่าง 20-26 ปี และเจเนอเรชันอัลฟา (Generation Alpha) คนที่เกิดตั้งแต่ปี 2553 หรืออายุต่ำกว่า 11 ลงลงมา ซึ่งแต่ละเจเนอเรชันต่างก็มีประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกัน จึงทำให้มีแนวคิดแตกต่างกันตามไปด้วย

โดยรวมแล้วคนในเจเนอเรชันเบบี้ บูมเมอร์จำนวนมากเข้าสู่วัยเกษียณไปแล้ว ซึ่งคนกลุ่มนี้อาจนับได้ว่าเป็นคนรุ่นเก่าที่มีแนวคิดแบบ “อนุรักษนิยม” ก็ว่าได้ แต่ก็ไม่ใช่เสียทั้งหมดทีเดียว คนเจเนอเรชันนี้มีประสบการณ์ชีวิตที่พบเจอเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองมาแล้วค่อนข้างมาก ในช่วงวัยนี้จึงมักมีความผูกพันกับสิ่งที่เรียกว่าสถาบันหลักคือ ชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์

เหตุการณ์สำคัญทั้งในระดับโลกและในระดับประเทศที่นับว่ามีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของคนเจเนอเรชันเบบี้ บูมเมอร์ ได้แก่ สงครามโลกครั้งที่ 2 โลกยุคสงครามเย็น การเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 การทำรัฐประหารยึดอำนาจของคณะทหารกลุ่มต่างๆ กรณี 14 ตุลาคม 2516 ตามด้วย 6 ตุลาคม 2519 รวมถึงพฤษภาทมิฬ 2535 และการชุมนุมประท้วงของมวลชนเสื้อสีต่างๆ มากมาย คนรุ่นนี้ได้ผ่านยุคเร่งที่จำเป็นต้องเพิ่มจำนวนประชากร จึงแต่งงานและสร้างครอบครัวเร็ว อุปนิสัยจริงจัง เคร่งครัดขนมธรรมเนียนประเพณี ต้องการเป็นเจ้าคนนายคน ชีวิตทุ่มเทให้กับงาน อดทนสูง ประหยัดอดออม มีวินัย ยึดกฎระเบียบ จึงมักต้องการนำกรอบกรอบความคิดทางสังคมในลักษณะนี้ส่งต่อมาให้คนรุ่นลูกรุ่นหลาน

ถือเป็นความแตกต่างจากคนรุ่นหลังๆ ที่ตามมา ซึ่งโดยรวมแล้วคนรุ่นหลังจากเจเนอเรชันบีสามารถเรียกว่าคนรุ่นใหม่ได้หมด อย่างคนเจเนอเรชันเอ็กซ์ถือเป็นยุคที่มีการรณรงค์ให้คุมกำเนิด เติบโตมาในโลกที่มีสันติภาพ บ้านเมืองค่อนข้างมีเสถียรภาพมั่งคง เนื่องจากรุ่นพ่อแม่ขยันทำงานและอดออมเงินไว้ให้ ชอบการรักษาสุขภาพและงานอดิเรก ไม่ค่อยบ้างานเหมือนรุ่นพ่อแม่ รักอิสระ แสวงหาเสรีภาพทางความคิด ไม่เคร่งในกรอบ ชอบพึ่งพาตนเอง สามารถอยู่ได้ด้วยตนเอง เริ่มที่จะยึดความเป็นตัวเองมากกว่าการยึดติดกับขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมประเพณี

ด้านคนรุ่นใหม่ในยุคหลังๆ ตามมาไม่ว่าจะเป็นเจเนอเรชันวาย และเจเนอเรชันอัลฟา ถือเป็นคนในโลกยุคใหม่ที่มีเทคโนโลยียุคดิจิทัลรองรับ มีการใช้อินเทอร์เน็ตในชีวิตประจำวันอย่างคล่องแคล่ว มีสื่อสังคมออนไลน์เป็นส่วนประกอบสำคัญในชีวิตประจำวัน ผู้คนในเจเนอเรชันนี้จึงยิ่งมีความคิดที่เป็นอิสระเข้มข้นขึ้นไปอีก ไม่ชอบโดนจำกัดกรอบ ไม่ชอบโดนวางเงื่อนไข มีความกล้าแสดงออกทางความคิด และต้องการความชัดเจนในทุกเรื่อง อีกทั้งยังมีความสามารถในการทำงานที่เกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร และยังทำงานหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกันอีกด้วย

การนำแนวคิดเกี่ยวกับการแบ่งเจเนอเรชันดังกล่าวมาใช้ทำความเข้าใจทั้งคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ จึงเชื่อว่าสังคมจะเห็นความแตกต่างของประสบการณ์ชีวิต และนำมาสู่แนวความคิดที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งหลายๆ ครั้งดูเหมือนจะขัดแย้งกันเสียด้วย เมื่อเป็นเช่นกันนี้จึงไม่ใช่แค่ภาพของสถานการณ์ทางการเมืองที่ได้เห็นผู้คน 2 กลุ่มคือ กลุ่มคนที่มีแนวคิดหัวอนุรักษนิยม กับกลุ่มคนที่มีแนวคิดเสรีนิยมใหม่กำลังขัดแย้งกันอย่างหนักจนเป็นข่าวครึกโครมเท่านั้น การทะเลาะเบาะแว้งระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ในครอบครัวเดียวกันก็เคยเป็นข่าวใหญ่ให้เห็นมาแล้ว

เชื่อหรือไม่บางครอบครัวอาจจะมีจำนวนสมาชิกอยู่ร่วมกันไม่มากเท่าไหร่ แต่กลับมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายจนเกิดการแยกครัวหรือโต๊ะอาหารภายในบ้านเดียวกัน หลายครอบครัวมีสมาชิกรุ่นเจเนอเรชันวายและเจเนอเรชันซีที่มองหน้ากันไม่ติดกับญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ในรุ่นเจเนอเรชันอนุรักษนิยม บางครั้งถึงขั้นอยู่ร่วมบ้านเดียวกันไม่ได้อีกต่อไป

มีตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ถูกบันทึกไว้ในเว็บไซต์พันทิปที่เป็นที่นิยมและรับรู้กันทั่วไปของชาวเน็ต เรื่องมีอยู่ว่าคนรุ่นใหม่ที่สามารถลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้แล้วในครอบครัวหนึ่ง เธอเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนไม่เฉพาะของแม่กับแม่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงญาติผู้ใหญ่ในบ้านทุกคน อยู่มาวันหนึ่งช่วงก่อนเลือกตั้งทั่วไปสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เธอพยายามชักชวนให้ผู้อาวุโสทั้งหลายในครอบครัวหันมานิยมชมชอบพรรคการเมืองแบบเดียวกับที่เธอชอบ แต่ก็ถูกปฏิเสธมาโดยตลอด ซึ่งเธอก็ยอมรับและเคารพในการตัดสินใจ

แต่เมื่อใกล้ถึงวันหย่อนบัตรเลือกตั้งก็มีคนรุ่นเก่าของครอบครัวพยายามทำแบบเดียวกันที่เธอทำบ้าง ด้วยการยัดเยียดให้เธอพลิกไปชมชอบพรรคขั้วตรงข้าม แม้เธอขอปฏิเสธแต่ก็ถูกรบเร้าให้ยอมทำตามโดยตลอด สุดท้ายกลายเป็นเกิดปะทะคารมแล้วก็ลุกลามเป็นทะเลาะถึงขั้นเข้าหน้ากันไม่ติด นานวันเข้าความเครียดสะสมและรบกวนจิตใจเธอจนต้องไปพบจิตแพทย์ เธอกลายเป็นคนป่วยที่ต้องพึ่งพายาและกระบวนการบำบัดรักษาอยู่นานนับปี

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องราวที่เป็นข่าวรับรู้กันในสังคมมาแล้วเช่นกัน กรณีมีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งที่เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่กำลังปะทะกับอำนาจรัฐต่อเนื่องในเวลานี้ เธอเคยอาศัยอยู่ในบ้านของครอบครัวอย่างอบอุ่น แต่เมื่อตัดสินใจเข้าร่วมม็อบแม้ไม่ได้อยู่แถวหน้า แต่ก็จัดว่าอยู่ในระดับแกนนำกลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง ภายหลังครอบครัวรับไม่ได้กับบทบาทที่เธอออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง สุดท้ายต้องตัดสินใจขนข้าวของเครื่องใช้ออกไปหาที่พักภายนอก ซึ่งก็เป็นที่รับรู้ในหมู่เพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่ต้องให้การช่วยเหลือกันไป

ดังนั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่าสังคมควรจะต้องนำเรื่องราวความแตกต่างทางความคิดของเจเนอเรชันต่างๆ ที่กล่าวไว้ข้างต้น นำไปร่วมกันขบคิดต่อเพื่อให้เกิดการทำความเข้าใจระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ เพื่อให้นำไปสู่การตั้งสติแล้วปรับเข้าสู่การรับฟังซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ต้องไม่ตัดสินใจอะไรที่ทะลุกลางปล้องหรือต้องขัดแย้งไปในทันทีทันใดถ้าไม่ถูกใจ และที่สำคัญที่มากคือคนรุ่นใหม่สมควรที่จะต้องกล่าวคำว่า “ขอโทษ” แล้วกางแขนเดินเข้าไปโอบกอดคนรุ่นเก่าก่อนด้วย

หากคนรุ่นใหม่ทำได้เช่นนั้นความเครียดที่ต้องเก็บกดก็จะค่อยๆ เลือนรางไปเอง เมื่อเกิดการยอมรับจากคนรุ่นเก่า ความอบอุ่นในครอบครัวก็จะค่อยๆ กลับคืนมาได้ ความแตกต่างทางความคิดของคน 2 รุ่นยังจะมีอยู่ได้อีกต่อไปหรือไม่ก็ตาม แต่คนทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ก็จะสามารถก้าวข้ามมันไปได้ ซึ่งอาจจะเป็นผลดีกับการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ด้วยซ้ำไป

“เดินไปพร้อมๆ กับผู้ใหญ่ หมาไม่กัด”

สำนวนนี้น่าจะสามารถนำมาใช้แทนคำกล่าวที่ว่า “เดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด” อย่างที่ว่าไว้ข้างต้นได้เป็นอย่างดี และในอนาคตต่อไปสังคมไทยอาจจะนำสำนวนนี้ไปใช้สั่งสอนกันจนฮิตติดปากก็เป็นได้ เพราะคนรุ่นใหม่ในวันนี้ก็ต้องการเป็นคนรุ่นเก่าในวันหน้า เช่นเดียวกับลูกสุนัขที่ก็ต้องมีวันเติบโตเป็นวัยรุ่นแล้วกลายเป็นสุนัขในวัยชราเช่นกัน

ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มคนที่มีผลประโยชน์ขัดกันถือเป็นเรื่องธรรมดาที่สังคมไหนๆ ก็มีด้วยกันทั้งนั้น แต่ในอนาคตครอบครัวคนไทยไม่ควรจะต้องมีสงครามบนโต๊ะอาหาร แม้คนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ในครอบครัวเดียวกันจะมีความเห็นต่างกัน แต่ก็จะสามารถร่วมเดินฟันฝ่าฝูงหมาไปพร้อมๆ กันได้


กำลังโหลดความคิดเห็น