xs
xsm
sm
md
lg

คนรุ่นใหม่กับ “มายาธิปไตย” ในสังคมไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



โดย... กฤตมา สุวรรณโร นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะศึกษาศาสตร์ ม.อ.ปัตตานี

ผืนน้ำสะท้อนเงาปรากฏเห็นเป็นภาพ แต่เงานั้นกลับไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ปรากฏการณ์นี้คือการสะท้อนภาพของเงาจากน้ำ ในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายการเกิดขึ้นของเงาไว้ว่า เป็นภาพฉายย้อนกลับของวัตถุชิ้นหนึ่ง เป็นสิ่งที่ธรรมดาสามัญเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนเราเคยชิน

ในวัยเยาว์หลายคนพากันคิดว่า “เงา” ในน้ำคือตัวเองอีกคนหนึ่ง ในเรื่องของเงานี้หลายคนคงจะเคยได้ยินได้ฟังนิทานอีสปเรื่อง “หมากับเงา” ที่มีเรื่องเล่าว่า มีหมาหิวโซตัวหนึ่งขโมยเนื้อมาจากร้านค้าในตลาด มันคาบเนื้อมาจนถึงสะพาน ทันใดนั้นมันก็หยุดและก้มลงไปดูเงาของตัวเองในน้ำ ด้วยคามเขลา มันคิดว่าในน้ำมีหมาป่าอีกตัวหนึ่งที่มีชิ้นเนื้อใหญ่กว่าของตนเอง ด้วยความโลภ มันจึงคายเนื้อและกระโดดลงไปในน้ำ

หลายครั้งที่เรามักจะคิดว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือ “ความจริง” อาจเพราะจับต้องได้ หรือสัมผัสได้ด้วยผัสสะ แต่เชื่อหรือไม่ว่า สิ่งที่เราเห็นอาจไม่ใช่ความจริงไปเสียทุกอย่าง บางอย่างปรากฏขึ้นเพื่อลวงให้เราเชื่อ และหลายอย่างที่ไม่ใช่ความจริงก็ก่อตัวขึ้นจากกระแสความเชื่อบางอย่าง เป็นกระบวนการ “ลวงให้หลง” เพื่อให้คนในสังคมเชื่อว่าสิ่งนี้มีอยู่จริง ทั้งที่ไม่ได้มีหรือปรากฏในสังคมเลยแม้แต่น้อย

มีหลากหลายเรื่องราวที่แสดงให้เห็นภาพลวงที่ทำให้คนไทยหลง เฉกเช่นเดียวกับเงาที่หมาหิวโซเผลอคิดไปว่าเป็นภาพจริง

“ไอสัส! ลืมทำการบ้าน”

เสียงเด็กผู้ชายชั้น ม.6 คนหนึ่งพูดดังขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะชอบใจขณะเขาคุยโทรศัพท์ สักพักเสียงกระทืบเท้าปึงๆ ปังๆ ดังมาจากระยะไกลเหมือนกำลังพุ่งใกล้เข้ามา หนุ่มน้อยเหลือบมองไปด้วยหางตาเห็นหญิงวัยราวห้าสิบต้นๆ เดินเข้ามา ใบหน้าของเธอดูเคืองขุ่น คิ้วขมวด พลันโพล่งขึ้นว่า

“ทำไมลูกพูดคำหยาบคายแบบนั้น”

เด็กชายยกไหล่ขึ้นด้วยความตกใจ เขารีบจิ้มนิ้วไปที่หน้าจอเพื่อกดวางสายโทรศัพท์

“แม่ครับ...ทำไมแม่ต้องตกใจขนาดนั้น ผมแค่พูดกับเพื่อนเอง” เด็กหนุ่มพยายามพูดให้แม่สงบอารมณ์

“ลูกพูดคำหยาบนะ จะไม่ให้เตือนได้ยังไง เดี๋ยวเผลอไปพูดกับผู้ใหญ่แล้วจะแย่” ในขณะลูกพยายามอธิบาย แต่ดูเหมือนฝ่ายแม่ยังไม่ลดละ

“โถๆ แม่ครับ นี่มันสมัยไหนแล้ว เพื่อนเขาไม่ถือสาคำว่า ‘ไอสัส’ กันหรอกครับ” เด็กหนุ่มยืนยัน

“ยัง...ยังจะเถียงฉันอีกนะ”

นี่แม่เพียงได้ยินแค่คำว่า “ไอสัส” เท่านั้นนะ ถ้าแม่เข้าไปในเฟซบุ๊กรับรองจะต้องตกใจมากมายกว่านี้อีก มีสิงสาราสัตว์มากมายจนเปิดสวนสัตว์ได้เลยเชียว เด็กหนุ่มได้แต่คิดในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกไป

หลายครั้งที่เราได้เห็นความขัดแย้งระหว่างคนต่างวัย โดยเฉพาะจากการพูดคุยเจรจาโต้ตอบกัน แต่ที่น่าประหลาดใจคือ ประเด็นความหมายของคำบางคำ ซึ่งแม้เป็นคำๆ เดียวกัน เขียนเหมือนกัน เพียงแต่เมื่อให้ความหมายแล้ว การแปลความหมายกลับต่างกันไปราวฟ้ากับเหว ข้างตันเป็นเพียงฉากหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นจริงกับครอบครัวหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้

นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่ชวนประหลาดใจขึ้นไปอีก เมื่อคำพูดเหล่านั้นกลับไปมีอิทธิพลทางความคิด อารมณ์และความรู้สึกของผู้ฟัง ที่สำคัญคือบางคำพูดเพียงไม่กี่คำสามารถที่จะนำมาซึ่งความขัดแย้งรุนแรงได้ หลายคนที่ยังไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เหล่านี้อาจจะยังนึกไม่ออก หรืออาจมองว่ากับแค่คำพูดเล็กๆ น้อยๆ จะนำพาคนให้ทะเลาะกันได้อย่างไร

แต่เชื่อไหมว่าคำพูดเล็กๆ น้อยๆ นี่แหละที่ทำให้หลายคนต้องจบความสัมพันธ์กันมาแล้ว ความเป็นเพื่อนพี่น้องหรือญาติสนิทมิตรสหาย กระทั่งคนที่เคยรักกันอยู่ดีๆ ก็มีอันต้องตัดสายสัมพันธ์กันจนขาดสะบั้น ยิ่งไปกว่านั้นคำเหล่านี้ก็เคยทำให้บ้านแตกสาแหรกขาดกันมาแล้ว อันเป็นไปในท่วงทำนองของสำนวนไทยที่ว่า “น้ำผึ้งหยดเดียว”

ย้อนนึกถึงสมัยเรียนวิชาภาษาไทยขณะอยู่ชั้นประถม หลายคนเคยผ่านบทเรียนเรื่อง “คำพ้อง” กันมาบ้างแล้ว แม้บางคนอาจจะเกือบตกในรายวิชานี้ คำพ้องมีทั้งพ้องเสียง พ้องรูป และพ้องความหมายหรือที่เรียกว่า คำไวพจน์ สำหรับคำพ้องเสียงคือออกเสียงเหมือนกัน แต่เขียนต่างและความหมายก็ไม่เหมือนกัน ส่วนคำพ้องรูปเป็นคำที่เขียนเหมือนกัน แต่ออกเสียงและมีความหมายแตกต่างกัน ด้านคำไวพจน์เป็นคำที่มีความหมายเหมือนกัน แต่อ่านและเขียนต่างกัน

“ตากลม” เป็นคำยอดฮิตที่คุณครูมักยกตัวอย่างขึ้นมาให้นักเรียนในห้องเรียนได้ถกกันว่าอ่านอย่างไร คำตอบมีทั้งอ่านว่า “ตา-กลม” หรือ “ตาก-ลม” ซึ่งปรากฏว่าคำตอบของนักเรียนในห้องออกเสียงแตกกันไปเป็นสองเสียง สุดท้ายครูก็จะเฉลยว่า ถูกทั้งสองฝ่าย อ่านออกเสียงได้ทั้งสองแบบ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับบริบทของคำอื่นที่แวดล้อมว่าจะให้สื่อความหมายอย่างไร เชื่อไหมว่าคำตอบของครูอาจทำให้เด็กนักเรียนหลายคนนั่งตาแป๋วตั้งใจฟังไปตามๆ กัน

ถึงแม้อ่านได้ทั้งสองแบบ แต่เวลานำคำว่า “ตากลม” ไปใช้ก็ต้องพิจารณาตามสถานการณ์ที่ประโยคแวดล้อมเป็นตัวกำหนดให้ดังตัวอย่าง ป.ปลาตากลม คงไม่มีใครอ่านออกเสียงว่า ป.ปลาตาก-ลม หรือประโยคที่ว่า พ่อนอนตากลมอยู่ริมทะเล คงไม่มีใครอ่านออกเสียงว่า พ่อนอนตา-กลมอยู่ริมทะเลเช่นกัน ถึงตรงนี้ น่าจะทำให้นักเรียนร้องอ๋อกันทั้งห้อง

หากนำเอาคาบเรียนเรื่อง “คำพ้อง” ดังกล่าวมาเชื่อมโยงกับการทำความเข้าใจในคำแต่ละคำที่จะสื่อความหมายออกไป สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ “บริบท” แวดล้อมของคำนั้นๆ ที่ผู้รับสารจะต้องเอามาร่วมพินิจพิเคราะห์ประกอบด้วย จึงไม่สามารถบอกได้ว่า ป.ปลาตาก-ลมได้ หรือถ้าคำๆ นั้นเป็นคำที่จะต้องมีหมายความว่า ตาก-ลม จริงๆ ก็คงจะต้องอยู่ในบริบทที่หมายถึงปลาทูแห้งที่ชาวประมงนำออกมาผึ่งลม เพราะคงไม่มีปลาเป็นๆ ตัวไหนหรอกที่อยากจะตาก-ลม ยกเว้นปลาที่ตายแล้วและรอทำเมนูปลาแดดเดียวเท่านั้น

บอกเล่ามาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่า “ความหมาย” ของคำเป็นสิ่งสำคัญ และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ “บริบท” ที่อยู่รายล้อม และเป็นหน้าที่ของผู้รับสารที่จะตีความคำๆ นั้นว่ามีความหมายอย่างไร โดยดูจากบริบท เพราะคำบางคำไม่ได้มีความหมายตายตัวหรือตรงตัว

คำว่า “ไอ้สัส” ตามเรื่องที่นำมาเล่าที่ทำให้แม่โกรธก็เหมือนกัน เป็นคำพ้องรูปเช่นเดียวกับ “ไอ้สัตว์” เนื่องจากออกเสียงเหมือนกัน แต่เขียนต่างกัน และที่สำคัญความหมายแตกต่างเช่นกันอย่างสิ้นเชิง

“สัตว์” คำนี้หมายถึงสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่คน หรือจะแปลว่าเดรัจฉานก็ไม่น่าจะผิดนัก จากความหมายอาจฟังไม่รื่นหูสักเท่าไหร่ เมื่อย้อนเวลากลับไปประมาณ 30 ปี หากใครโดนพูดต่อหน้าว่า “ไอ้สัตว์” คงจะสะดุ้งโหยงกันไปตามๆ กัน และต้องรู้สึกได้ทันทีว่าเป็นคำด่าที่ค่อนข้างแรงมาก เหมือนมีคนเอามีดมาปักไว้ที่หัวใจ แล้วไม่ยอมดึงมีดนั้นกลับไปด้วย เจ็บแน่นและเจ็บนาน เพราะมีความหมายว่าคนๆ นั้นไม่ใช่คน ถึงขนาดเป็นเดรัจฉานได้เลยทีเดียว จึงนับว่าน่าอับอายเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งมักจะใช้เป็นคำด่าทอหยาบคายและเรามักจะได้ยินเมื่อมีคนทะเลาะกันอย่างรุนแรง

เวลาที่หมุนเปลี่ยนเวียนผ่านนานปีไป เชื่อไหมว่ายุคสมัยนี้คำว่า “ไอ้สัส” ที่คนรุ่นใหม่ใช้กันเกร่ออาจไม่สามารถตีความหมายเป็นเดรัจฉานได้อีกแล้ว อาจไม่สามารถใช้เป็นคำกระแทกแดกดันหรือด่าทอให้คนอื่นรู้สึกเสียหายได้เสมอไป หากแต่คำๆ นี้ถูกประกอบสร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งไม่ใช่ตัวอักษรที่เขียนและออกเสียงเหมือนกับคำว่า “ไอ้สัตว์”

คำว่า “ไอ้สัส” กับคำว่า “ไอ้สัตว์” หากพูดกันตามหลักคำพ้อง ถือว่าจัดอยู่ในคำพ้องเสียง กล่าวคือ เมื่อหลับตาฟังก็จะได้ยินการออกเสียงเหมือนกัน แต่หากลืมตาขึ้นมาสังเกตบริบทแวดล้อม หรือถ่างตาดูอักขระวิธีในการเขียน ทั้งสองคำจะเขียนไม่เหมือนกัน และที่สำคัญความหมายก็แตกต่างกันไปจนแทบจะเหมือนสวรรค์กับนรกเลยก็ว่าได้

“ไอ้สัส” ที่เป็นคำพูดติดปากของบรรดาวัยรุ่นในเวลานี้ไม่ได้มีความหมายในเชิงลบ ไม่ได้ตีความว่าเป็นเดรัจฉานเหมือนในอดีตที่ผ่านมา แต่ในปัจจุบันคำนี้ได้ถูกใช้ไปในแง่ของ “วลีสบถ” คือคำที่วัยรุ่นมักจะใช้พูดสบถต่อท้ายประโยค ที่สำคัญจะสังเกตได้ว่าเด็กวัยรุ่นที่พูดคำนี้ไม่ได้ต้องการให้ผู้ฟังมีความรู้สึกเชิงลบ หรือพูดยียวนชวนหาเรื่องกับอีกฝ่ายไปเสียทีเดียว หากแต่ต้องการพูดให้ดูสนุกสนานเพียงเท่านั้น คล้ายๆ กับการใช้คำสร้อยต่อท้ายเพลงแห่งยุคสมัย

หากจะกล่าวเปรียบเทียบคงเหมือนกับการใช้ศัพท์สแลง (Slang) ที่เป็นถ้อยคำหรือวลีที่ใช้ในการสื่อสารและเข้าใจกันในเฉพาะกลุ่ม โดยไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้องตามหลักภาษา และมักใช้อยู่เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางภาษาที่เกิดขึ้นนี่เองที่อาจทำให้ผู้ที่อยู่ต่างวัยกันมักได้ยินและตีความไปคนละความหมาย กระทั่งนำไปสู่ความไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้พูดจะสื่อสาร แต่ตีความไปในยุคสมัยหรือความเคยชินของตัวเอง

การใช้ “คำพ้อง” แบบไม่ตั้งใจนี่เองที่เป็นปัญหาในการสื่อสารระหว่างคนสองรุ่น และการดูบริบทแวดล้อมของคำประกอบอาจจะยังไม่เพียงพอด้วย เพื่อให้เท่าทันต่อยุคสมัยดิจิทัล (Digital Age) ซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปอย่างรวดเร็วทันควัน ผู้ฟังจึงยังควรต้องนำ “เจตนา” ของผู้พูดมาพิจารณาประกอบการสื่อสารด้วย

“ภาษา” เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการสื่อสาร กล่าวได้ว่าแท้จริงแล้วภาษาเปรียบเสมือน “สัญลักษณ์” ที่มนุษย์กำหนดขึ้นใช้เพื่อช่วยให้การสื่อสารเกิดความเข้าใจตรงกัน เช่น อวัยวะที่ใช้พูดและเคี้ยวอาหารใช้สัญลักษณ์การเขียนว่า “ปาก” เป็นการแทนความหมายของสิ่งที่ผู้พูดต้องการจะสื่อสาร เรียกสั้นๆ ว่าเป็น “การสื่อความหมาย” หรือให้ลึกไปกว่านั้นเมื่อเรากล่าวคำๆ หนึ่งออกไป หรือเขียนบางอย่างลงไปบนกระดาษ อาจไม่ได้หมายถึงสิ่งนั้นอย่างเถรตรง แต่อาจจะแฝงอะไรบางอย่างเข้าไปแทนที่ไว้ด้วย

นักทฤษฎีที่เป็นเจ้าแห่งการสื่อความหมายคงหนีไม่พ้น โรล็องด์ บาร์ตส์ (Roland Barthes) เจ้าของแนวคิด “มายาคติ (Myth)” ทฤษฎีชื่อก้องโลก โดยเฉพาะในวงการวรรณคดีและวรรณกรรม มายาคติเป็นทฤษฎีที่ได้รับความนิยมในการศึกษาวิเคราะห์การสื่อความหมายของปรากฏการณ์ต่างๆ ในสังคม โดยเฉพาะกับงานวรรณกรรมที่ใช้มายาคติเป็นสื่อในการสื่อสารถ่ายทอดเรื่องราวที่แฝงคติความเชื่อและความหมายทางวัฒนธรรม อีกนัยหนึ่งมายาคติเป็นรูปแบบสัญลักษณ์ที่คนในสังคมสร้างขึ้นเพื่อให้เกิดการขัดเกลาทางสังคม

ตัวอย่างที่สะท้อนมายาคติที่สังเกตได้อย่างง่ายดายเลยคือ มายาคติเรื่องการล้างเท้าก่อนเข้าบ้าน หรือเมื่อกลับมาจากงานศพ หลายคนคงจะเคยพบเจอกับเหตุการณ์นี้ ผู้ใหญ่จะบอกให้ไปล้างเท้า ล้างมือและล้างหน้า เพราะเชื่อว่าหากไม่ล้าง “ผี” จะตามมาที่บ้าน เด็กคนใดได้ยินเช่นนี้ก็จะเกิดความกลัว

ทว่าความต้องการของคนโบราณที่แฝงในคตินี้หาใช่เรื่องคนตายไม่ แต่กลับเป็นเรื่อง “ความสะอาดของร่างกาย” เพราะว่าในอดีตการเผาศพทำกันในลักษณะตั้งเชิงตะกอน ซึ่งจะมีทั้งควัน เศษผงและฝุ่นลอยคละคลุ้งในอากาศ ติดหน้าบ้าง ติดมือบ้าง ติดเท้าบ้าง และคนปกติไม่ได้ใส่อะไรคลุมอวัยวะเหล่านั้นเลย เมื่อกลับถึงบ้านผู้ใหญ่เลยอยากให้ทำความสะอาดก่อนเข้าบ้าน แท้จริงหาใช่ผีจากงานศพตามมาไม่

วิเคราะห์ให้ลึกจะเห็นว่ามายาคติที่ผู้ใหญ่ใช้เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ “ผี” ซึ่งจะว่าไปสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเสียด้วยซ้ำ และนี่เองที่ทำให้คนกลัวว่าสิ่งที่มองไม่เห็นจะปรากฏเป็นสิ่งที่มองเห็นขึ้นมา การปฏิบัติตามจะทำให้เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับตนเองน้อยลง หรือป้องกันเหตุที่คาดการณ์ว่าจะเกิดได้ล่วงหน้า

จึงสังเกตได้ว่ามายาคติเรื่องผีนี้เกิดขึ้นได้ทั่วไปและบ่อยครั้งมาก เพราะคนไทยมีความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายว่า แม้ตัวจะตาย แต่จะมีสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณอยู่ในอีกโลกหนึ่ง บ้างเรียกว่าโลกคู่ขนาน และเชื่อเรื่องของกรรมหรือการกระทำว่า หากตอนมีชีวิตอยู่กระทำกรรมดี ตายไปจะไปเกิดในภพภูมิที่ดีเรียกว่า “เทวดา” แต่หากกระทำกรรมไม่ดี ตายไปก็จะไปเกิดในภพภูมิที่ไม่ดีเรียกว่า “ผี” หรือ “เปรต” แต่หากสังเกตให้ดีเรามักจะใช้คำว่าผีไปกับสิ่งที่น่ากลัว ทั้งๆ ที่เทวดาก็คือผีเช่นกัน เหล่านี้พอทำให้เห็นมายาคติในเรื่องผี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการนำคำๆ นี้ไปใช้ทั้งในเชิงความหมายสัญลักษณ์หรือคติ

นอกจากจะใช้มายาคติไปในแง่ความหมายหรือคติที่แฝงเร้นแล้ว มายาคติยังเป็นสิ่งที่ซ่อนความหมายบางอย่างได้อีกด้วย ที่กล่าวเช่นนี้เพราะมีเพียงคนสร้างและการอธิบาย “สัญญะ” เท่านั้นที่จะทำให้คนอื่นๆ เข้าใจได้ตรงกัน

“หากท่านเด็ดดอกไม้ทิ้ง จะยิ่งบาน”

นี่เป็นคำกล่าวที่เกิดขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1990 ของนักเคลื่อนไหวประชาธิปไตยในประเทศไต้หวัน ซึ่งก็เป็นมายาคติเช่นกันที่เปรียบ “ดอกไม้” เป็นภาพแทนคนหนุ่มสาว คำกล่าวนี้เกิดในเหตุการณ์ที่เริ่มต้นจากนักศึกษาเพียงแค่ 9 คน แต่ไม่ช้าไม่นานก็มีผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกันเพิ่มขึ้นมากมายในชั่วพริบตา

การเปรียบการ “เด็ดดอกไม้” เป็นเหมือนการทำลายความหวังเหล่านั้นให้หายไป แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว การที่ใครเด็กดอกไม้ออกจากขั้ว แม้ดอกไม้จะหายไป 1 ดอก แต่ธรรมชาติก็สามารถสร้างเซลล์ของต้นไม้ขึ้นมาใหม่ และกลับทำให้เพิ่มจำนวนดอกไม้ขึ้นไปอีก

หากดอกไม้คือภาพแทนคนหนุ่มสาวที่มีความเบิกบาน และมีอุดมการณ์ที่พร้อมมอบความงดงามแก่โลก แต่กลับมีใครบางคนอยากจะเด็ดดอกไม้เพื่อหวังจะหยุดความงดงามและการเบ่งบานแล้ว คนๆ นั้นอาจจะคิดผิด เพราะหากยิ่งปลิดดอกออก หรือยิ่งหยุดพวกนักศึกษาไม่ให้เติบโต จริงอยู่ว่าหากเด็ดดอกไม้ออกมันจะหายไป แต่เคยคิดหรือไม่ว่าสิ่งที่หายไปแท้จริงมันคือความงดงามต่างหาก เช่นนั้นแล้วผู้คนอาจจะอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยดอกไม้ที่งดงาม เสมือนความเสรีและมีประชาธิปไตยที่เบ่งบาน

ต้องยอมรับว่าไม่เพียงแต่คนหนุ่มสาวในไต้หวันเท่านั้นที่เรียกร้องประชาธิปไตย แต่หนุ่มสาวชาวไทยไม่ว่าจะเป็นนิสิต นักศึกษาและนักเรียนที่แม้บางคนจะอายุยังน้อย แต่พวกเขาได้ออกมาใช้สิทธิเพื่อเรียกร้องเอาประชาธิปไตยให้คืนกลับมาเป็นของพวกเขาด้วย

เวลานี้เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ทำไมมีคนรุ่นใหม่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง เหตุที่ออกมาเคลื่อนเพราะอะไร เคลื่อนไหวไปทำไม ซึ่งยังมีคำถามในทำนองนี้อีกมามายที่ผู้คนในสังคมอาจจะยังสงสัยกันอยู่

การออกมาเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ในประเทศไทย นับเป็นปรากฏการณ์ที่สังคมควรตั้งคำถามและหาคำตอบให้ได้ว่า เหตุใดคนรุ่นใหม่เหล่านี้ถึงได้ลุกขึ้นมาสร้างปฏิบัติการให้เป็นที่ปรากฏในช่วงเวลาหลายปีติดต่อกันมา บางคนสลัดชุดนักเรียนวิ่งกรูเข้าไปเป็นกระบอกเสียงเพื่อเรียกร้องอะไรบางอย่าง และอะไรบางอย่างที่ว่านั้นหากย้อนคิดกลับไป สิ่งนั้นเคยอยู่ในสังคมอยู่แล้วใช่หรือไม่ เหตุใดกันหนอที่คนรุ่นใหม่ยังคงต้องเรียกร้องสิ่งที่เกิดขึ้นมานานตั้งแต่อดีต

นั่นก็เพราะว่าในปัจจุบันสิ่งที่พวกเขาเคยคิดว่ามี เวลานี้มันได้หายไปแล้ว คงเหลือไว้เพียงแค่ชื่อเรียกในระบอบการปกครองว่าเป็น “ประชาธิปไตย” เพียงเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อหลอกคนทั่วไปว่ามันยังมีอยู่ แต่แท้จริงมันได้หายไปนานแล้ว คิดไปคิดมาสิ่งนี้คล้ายมายาคติเรื่องผีที่ถูกหยิบยกมาหลอกหลอนคนไทยแบบมาๆ หายๆ ปรากฏตัวได้แบบเลือนๆ ลางๆ เหมือนเคยเป็นคนที่มีรูปร่างมาก่อน

มาต่อกันที่คำถามที่ว่า เหตุใดคนรุ่นใหม่จึงออกมาขับเคลื่อนไหวเรื่องประชาธิปไตยกันอย่างมากมาย บางคนว่าทำไปตามกระแสสังคมของแวดวงเพื่อนฝูง บางคนว่าทำเพราะความคึกคะนอง บางคนว่าเป็นพวกเด็กก้าวร้าว แต่หากใครลองพินิจสักนิดจะเห็นว่าตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์เชื้อไวรัสโควิด–19 แพร่ระบาดไปทั่วโลก ความระส่ำระส่ายก็ถาโถมเข้ามาในบ้านเมืองไทยด้วยเช่นกัน สภาพเศรษฐกิจและสังคมล้วนตกต่ำย่ำแย่ นี่ยังไม่นับรวมปัญหาคนตกงาน เด็กนักเรียนนักศึกษาที่ต้องเรียนออนไลน์ พ่อแม่ผู้ปกครองต้องรับภาระค่าใช้จ่ายอย่างสาหัสสากรรจ์

ความจริงแล้วก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤตจากการแพร่ระบาดของเชื้อโรคครั้งนี้ ประเทศไทยได้พบเจอกับภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซามาก่อนด้วยแล้ว พ่อค้าแม่ขายต้องปิดกิจการไปเป็นทิวแถว ยิ่งเจอกับมรสุมสงครามโรคระบาดมาซ้ำเติมด้วยแล้ว ประเทศไทยที่มีชื่อเสียงและรายได้หลักในด้านของการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการต่างๆ ก็พลอยได้รับผลกระทบไปตามๆ กัน เมื่อไม่มีนักท่องเที่ยวอย่าว่าแต่ร้านอาหารหรือภัตตาคารหรูๆ จะอยู่ไม่ได้เลย แม้แต่แม่ค้าพ่อค้าร้านแกงถุงราคาถูกก็ค้าขายได้ยากเย็นแสนเข็ญ เมื่อไม่มีนักท่องเที่ยวก็ไม่มีการเช่าห้องพักโรงแรม หลายโรงแรมต้องปิดตัวไปก่อนวิกฤตโควิด-19 เสียอีก

หากเป็นมายาคติ เรื่องราวเหล่านี้ก็เหมือนโดมิโนที่เมื่อมีอันใดอันหนึ่งเริ่มล้ม ชิ้นต่อๆ ไปก็ล้มกันไปตามๆ กัน และท้ายสุดอาจจะไม่มีโดมิโนชิ้นใดที่ตั้งตรงอยู่ได้เลย

เหตุการณ์เช่นนี้นี่เองที่ทำให้บรรดานักเรียน นิสิตและนักศึกษาออกมาตั้งคำถามเพื่อเรียกร้องอนาคตของตนเอง และยังต้องถือว่าเป็นการเผื่อไปให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานหลานด้วย เมื่อคิดว่าในปัจจุบันยังเกิดวิกฤตได้เท่านี้ แล้วต่อไปในอนาคตวันที่โลกได้เปลี่ยนแปลงไปมากจะเป็นอย่างไร หากตนไม่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงในวันนี้ โดยยังนิ่งเฉยกับปัญหาได้ต่อไปแบบทองไม่รู้ร้อน ไม่ช้าไม่นานคนที่ต้องกลืนน้ำตาตัวเองอาจเป็นพวกเขา ที่สำคัญพวกเขาต้องมานั่งขอโทษลูกหลานตัวเองที่ครั้งหนึ่งเคยมีโอกาสแก้ไขได้ แต่กลับไม่คิดที่จะลงมือทำอะไรกับมัน

ชีวิตหลายชีวิตต้องโรยรากันไป หลายคนที่เจอมรสุมปัญหาในช่วงนี้เมื่อหนักมากเข้าก็ตัดสินใจฆ่าตัวตาย ในวิกฤตเช่นนี้มีหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า ใครกันแน่ที่ควรช่วยประชาชนในยามภาวะสงครามโรคระบาดเช่นนี้มากที่สุด ฝ่ายหมอและพยาบาล หรือผู้ถืออำนาจรัฐ หรือผู้คนควรต้องจำใจปล่อยไปตามเวรตามกรรม

แต่การตั้งคำถามของคนรุ่นใหม่ก็มีผู้ใหญ่บางคนให้ความเห็นว่า การเมืองไม่ใช่เรื่องของพวกเขา เมื่อมีหน้าที่เรียนหนังสือหนังหาก็ควรตั้งหน้าตั้งตาเรียนไป ผู้ใหญ่จำนวนมากอาจจะคิดและพูดเช่นนี้ ซึ่งนั่นก็อาจจะต้องให้ผู้ใหญ่กลับไปทบทวนตนเองเสียใหม่เหมือนกัน ผู้ใหญ่เองหรือเปล่าที่พูดผิดและควรเปลี่ยนใจมาตั้งคำถามใหม่ว่า

“ฤๅการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน”

นอกจากนี้แล้วมีสิ่งที่ผู้ใหญ่ทุกคนนั้นควรตั้งคำถามกลับด้วยคือ แล้วผู้ใหญ่เองทนอยู่มาได้อย่างไรตลอดการใช้ชีวิตที่ดำเนินมา

ต้องยอมรับว่าในอดีตการตั้งคำถามต่อการบริหารงานของรัฐบาลเวลานี้ เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ในสังคมมองว่าทำได้ยาก ถือเป็นเรื่องไกลตัว เพราะคิดว่าเรื่องการเมืองไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชนคนรากหญ้า แต่เป็นเรื่องของคนใหญ่ๆ โตๆ ในบ้านเมืองที่จะได้เข้าไปรับผิดชอบดูแลและจัดการ ส่วนคนเล็กๆ มีหน้าที่ทำมาหากินและทำตามนโยบายต่างๆ ที่รัฐจะจัดหามาให้

แต่ในปัจจุบันด้วยสังคมที่แปรเปลี่ยนไป เทคโนโลยีสารสนเทศที่ก้าวหน้า รวมไปถึงการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ฉับไว เหล่านี้ได้ทำให้ประชาชนสามารถเห็นการทำงานของรัฐบาลได้อย่างประจักษ์ชัด ส่งผลให้ผู้คนหลายกลุ่มก้อนกล้าที่จะเริ่มตั้งคำถาม นอกจากกลุ่มประชาชนที่ได้รับผลกระทบชัดเจนแล้ว กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเห็นประเทศของพวกเขาพัฒนาไปข้างหน้าก็ไม่ละเลยการทำหน้าที่นี้เช่นกัน

พลังของคนรุ่นใหม่เป็นสิ่งหนึ่งที่จะทำให้สังคมก้าวไปข้างหน้า การส่งเสริมและเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงความคิดเห็นและตั้งคำถามเป็นสิ่งที่ดี เพราะหมุดหมายและพลังของหนุ่มสาวนี้เองที่จะก่อให้เกิด “สังคมพลวัต” ซึ่งสังคมพลวัตที่ว่าไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิด ทัศนคติและการยอมรับความหลากหลายของผู้คนมากยิ่งขึ้น

ผู้ใหญ่บางคนในสังคมมองว่าผู้ที่ที่อายุยังน้อยหรือเด็กๆ ไม่มีประสบการณ์ชีวิตที่มากพอจะมีเหตุผลหรือเข้าใจการเมืองได้อย่างไร เข้าทำนองเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม หรือหนูๆ จะไปรู้ดีกว่าคนรุ่นเก่าที่อาบน้ำร้อนมาก่อนได้อย่างไร หลายท่านมองว่าพวกเขารวมกลุ่มกันเพราะตามเพื่อนฝูงไปเสียมากกว่า และมองไปถึงขั้นที่ว่าคนเหล่านี้เป็นเด็กก้าวร้าว เพียงเพราะคิดไม่เหมือนตน

แต่แท้จริงแล้วการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเป็นสิ่งที่คนไทยพึงกระทำ เพราะความเป็นอยู่ของประชาชนไม่ว่าจะเป็นระบบสาธารณสุข การดูแลประชาชน นโยบายทางการศึกษา ล้วนเกี่ยวข้องกับคนไทยทั้งหมด จึงกล่าวได้ว่า การเมืองเกี่ยวข้องกับทุกผู้คนตั้งแต่เกิดจนตาย

เมื่อเด็กๆ เกิดมาต้องมีโรงพยาบาลดีๆ ไว้ทำคลอด ต้องมีทีมแพทย์และอุปกรณ์ที่ทันสมัยรองรับการเจ็บป่วย เมื่อเติบโตก็ต้องได้ฉีดวัคซีนดีๆ เพื่อป้องกันโรคต่างๆ อีกทั้งต้องได้เข้ารับการศึกษาที่ดีที่สุดเพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม เมื่อเข้าสู่วัยทำงานจะต้องเดินทางด้วยรถไฟฟ้าหรือระบบขนส่งมวลชนคุณภาพเพื่อชีวิตที่ดี จริงอยู่ที่พ่อแม่คนให้กำเนิดต้องเป็นผู้รับผิดชอบฟูมฟักให้อยู่ได้ในสังคม แต่หน้าที่ทำให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานทั้งระบบนั้นรัฐต้องเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ

หากเราได้ผู้นำที่ดีและเก่งเข้ามาบริหารประเทศ แน่นอนว่าเราจะมีน้ำประปาที่ดี มีไฟฟ้าใช้ทั่วประเทศ มีระบบขนส่งมวลชนที่รวดเร็ว และทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ไม่ได้มากมายเกินไป หรือประชาชนขอมากเกินไป เพราะในอนาคตคนรุ่นใหม่เมื่อพวกเขามีงานทำก็ต้องเสียภาษีให้เอาามาบริหารประเทศ ทั้งนี้ก็เพื่อความคุ้มค่ากับภาษีที่เขาต้องจ่าย ส่วนคนที่ต้องเสียภาษีอยู่ในปัจจุบันยิ่งต้องคิดและตั้งคำถามว่า เงินภาษีที่เสียให้รัฐคุ้มค่ากับสิ่งที่พวกเขาได้รับไหม

แต่ถ้าใครใจดีคิดเสียว่าทำบุญทำทานให้คนไม่มีความสามารถเข้ามาบริหารประเทศชาติ หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี เพราะการที่ยังนิ่งเฉยและไม่รู้สึกอะไร นั่นก็เพียงจะขอร้องว่าท่านอย่าได้ปิดกั้นการเคลื่อนไหวของเหล่านักเรียน นิสิต นักศึกษา โดยเฉพาะกับประชาชนคนรุ่นใหม่เลย เพราะความขัดแย้ง เพราะความเห็นต่างเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเกิดในระบอบประชาธิปไตย

ตัวอย่างความขัดแย้งในความคิดเห็นที่ต่างกันมีให้เห็นเป็นที่ประจักษ์มากมาย เช่น การเรียนการสอนเรื่องประชาธิปไตยในโรงเรียน โจทย์หนึ่งที่ท้าทายครูในยุคปัจจุบันคือ หลักคิดสังคมประชาธิปไตยควรมีแค่ในวิชาสังคม หรือควรปลูกฝังหัวใจหลักสำคัญของประชาธิปไตยให้กับนักเรียน กล่าวคือ ให้อิสระในการคิด แต่ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น และการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ซักถามก็เป็นกระบวนการหนึ่งที่สามารถทำได้ เพื่อให้ประชาธิปไตยเบ่งบานในสถานบ่มเพาะปัญญา

เด็กในวันนี้คืออนาคตของชาติมิใช่หรือ

ในอดีตคำๆ นี้ผู้ใหญ่ในสังคมมักจะพูดกันเพื่อให้เด็กประพฤติตัวดี เชื่อฟังผู้ใหญ่ หรือเพื่อจุดประสงค์อื่นๆ ก็มิอาจทราบเจตนาที่แท้จริงได้ แต่คำๆ ก็มีเนื้อหาที่สามารถหยิบยกมาพูดคุยกันได้ว่า เด็กหรือคนรุ่นใหม่ในวันนี้ในอนาคตจะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่หรือคนรุ่นเก่าในวันหน้า

หากลองพิจารณาตรึกตรองกันดีๆ สังคมที่มีคนรุ่นใหม่มีความคิด ทั้งความคิดที่สร้างสรรค์ กล้าแสดงออก แน่นอนว่าในอนาคตประเทศไทยจะต้องก้าวหน้า แต่ถ้าหากวันนี้เราปิดกั้นความคิดของคนรุ่นใหม่ แล้วประเทศไทยจะไม่ต้องเรียกว่าได้รับการพัฒนาแบบ “เต่าคลาน” ล่ะหรือ นั่นคือพัฒนาแบบช้าๆ หรือซ้ำร้ายอาจจะพัฒนาแบบ “ถอยหลังลงคลอง” เอาเสียด้วย

ฉะนั้นแล้วการเปิดโอกาสรับฟังคนรุ่นใหม่บ้าง จึงไม่เป็นเรื่องที่ไม่น่าเสียหายหรือเสียเวลาแม้แต่น้อย หากเราให้โอกาสคนรุ่นใหม่ได้แสดงออกทางความคิดและร่วมกันพัฒนาประเทศ ท้ายสุดแล้วเรามาดูกันว่าประเทศที่คนรุ่นใหม่คอยขับเคลื่อนจะเป็น “ประชาธิปไตยที่เต็มใบ” ได้หรือไม่ หรือว่าจะกลับไปเป็น “มายาประชาธิปไตย” ในรูปแบบที่เคยเกิดขึ้นซ้ำๆ ในประเทศไทยกันแน่


กำลังโหลดความคิดเห็น