xs
xsm
sm
md
lg

“ไฟใต้” ท่ามกลางโควิด-19 ยิ่งระบาดหนักขึ้น ชัยชนะของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ยิ่งไกลเกินเอื้อม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คอลัมน์ จุดคบไฟใต้ /โดยไชยยงค์ มณีพิลึก

ต้องยอมรับความจริงว่าการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เป็นปีที่ 2 ได้ซ้ำเติมสถานการณ์โดยรวมของจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะกับพื้นที่ 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลาได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย

เพราะนอกจากขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่นำโดย บีอาร์เอ็น” จะยังปฏิบัติการเข้มแข็งทั้งด้านการทหารและด้านการเมืองแล้ว ยังมีเรื่องของ “ความยากจน” ที่มีอยู่แล้วถูกรุมเร้าจากการระบาดของโควิด-19 ทบเท่าทวีคูณเพิ่มขึ้นไปอีก

ที่บอกว่างานการทหารและงานการเมืองของบีอาร์เอ็นยังเข้มแข็ง เห็นได้จากแม้ “ปิด” หมู่บ้าน-ตำบลมากมาย รวมถึง “ซีล” ชายแดนไทย-มาเลเซีย ชนิด 100% เพื่อป้องกันเชื้อโรค แต่ อาร์เคเค” หรือกองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็นยังปฏิบัติการวางระเบิดซุ่มโจมตีและปะทะกับ หน่วยจรยุทธ์” ของทหารมาโดยตลอดในรอบ 2 ปีมานี้

ล่าสุด อาร์เคเคใช้กำลังเพียงไม่กี่คนหลอกล่อให้ กอ.รมน.ภาค ส่วนหน้า” ต้องสนธิกำลังกับตำรวจในพื้นที่นับร้อยเข้าปิดล้อมและยิงปะทะกันได้นานถึง 7 วัน เหตุเกิดในพื้นที่ป่าสาคู ต.กะดูนง อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ซึ่งหลังการปะทะปิดฉากลงพบว่า ฝ่ายอาร์เคเคมีเพียง 2 ศพปรากฏให้เห็นเท่านั้น

อีกทั้ง แนวร่วม” บีอาร์เอ็นใน ต.บ้านนา อ.จะนะ จ.สงขลา ยังได้ “เอาคืน” ในทันทีทันควันด้วยการวางระเบิดทหารหน่วยจรยุทธ์ทำให้ทหาร “พลีชีพ” 1 และบาดเจ็บทั้งชุด 3-4 นาย ที่สำคัญผ่านไปกว่าสัปดาห์ก็ยังไม่สามารถระบุตัวตนหรือจับกุมคนร้ายได้ แค่สันนิษฐานจากงานการข่าวว่าน่าจะเป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวในพื้นที่

เหตุการณ์ลอบวางระเบิดหน่วยจรยุทธ์นี้บอกอะไรได้หลายอย่าง หนึ่งคือปฏิเสธไม่ได้ว่า อ.จะนะ ยังเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวทางการทหารอย่างสำคัญของบีอาร์เอ็น อาร์เคเค หรือแนวร่วม แสดง “ศักยภาพ” ก่อเหตุร้ายต่อเจ้าหน้าที่ 2-3 ครั้งต่อปี อันชี้ให้เห็นถึงการมี “ตัวตน” ของบีอาร์เอ็นอยู่ในพื้นที่มาต่อเนื่อง

ส่วนงานการเมืองถ้า หน่วยข่าว” กอ.รมน.หรือสันติบาลเกาะติดพื้นที่จริง ก็จะรู้ว่าบีอาร์เอ็นเคลื่อนไหวมวลชนเข้มข้นมากกว่าในอีก 3 อำเภอของ จ.สงขลาเสียด้วยซ้ำ เพราะ อ.จะนะ มีสถานศึกษาและมีกลุ่มผู้สนับสนุนเกี่ยวร้อยขบวนการอยู่มาก

กว่า 17 ปีไฟใต้ระลอกใหม่ อ.จะนะ จึงยังเป็นดินแดน “กันชน” เพื่อรักษาพื้นที่ “ไข่แดง” อย่าง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลาเอาไว้ จึงถือเป็นกว่า 17 ปี ที่น่าคิดและน่าเป็นห่วงที่ กอ.รมน.ภาค ส่วนหน้า” ยังทำให้พื้นที่เป็น “พื้นที่สีเขียว” ไม่ได้เลย

ถามว่ากว่า 17 ปี ความสำเร็จของมาตรการดับไฟใต้อยู่ที่ไหน โดยเฉพาะจะทำให้ จ.ปัตตานี ยะลา และนราธิวาสมีความสงบได้อย่างไรในเมื่อพื้นที่อย่าง อ.จะนะ ที่อยู่ใกล้กับ อ.หาดใหญ่ และ อ.เมืองสงขลา ยังมีการก่อเหตุร้ายและเป็นฐานบ่มเพาะคนหนุ่ม-สาวเข้าสู่ขบวนการ

ถามว่า 4 อำเภอของ จ.สงขลา คือ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ซึ่งเป็นพื้นที่ค่อนข้างผสมกลมกลืนระหว่างประชากร พุทธ” และมุสลิม” มากกว่าพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ดังกล่าว หน่วยงานความมั่นคง” ใช้นโยบาย “พหุวัฒนธรรม” เพื่อสร้างสันติสุขมาตลอด แต่กับหยุดการ “บ่มเพาะ” เยาวชนหน้าใหม่เข้าสู่ขบวนการไม่ได้ผล

ถามต่อไปว่า ผู้นำกลุ่มที่ก่อวินาศกรรมในพื้นที่ อ.จะนะ เป็นแนวร่วม กลุ่มหน้าขาว” ใช่หรือไม่?

ถ้าใช่! หน่วยงานความมั่นคง” ต้องตอบโจทย์ก่อนเลยว่า ทำไมปล่อยให้บีอาร์เอ็นทำงานการเมืองและงานการทหารแบบเติบโตได้ต่อเนื่อง

อันที่จริง หน่วยงานความมั่นคงก็ทราบดีว่า แนวร่วมกลุ่มรุ่นใหม่ไม่ได้มีเฉพาะกลุ่มที่ออกมาปฏิบัติการล่าสุดกลุ่มนี้เท่านั้น แต่ยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้ปรากฏตัวโดยยังอยู่ในสถานะของ คนหน้าขาว” ที่เจ้าหน้าที่การข่าวยังไม่มีประวัติอยู่ในมือ

ถามเพิ่มเติมอีกว่า “ใคร” รับผิดชอบพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ซึ่งก็คือหน้าที่ของ ฉก.สงขลา” ใช่หรือไม่ และที่สำคัญเป็นหน่วยเดียวที่มีพื้นที่รับผิดชอบเพียงแค่ 4 อำเภอหรือเปล่า เพราะในขณะที่ ฉก.ในอีก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กลับมีพื้นที่รับผิดชอบกระจายไปเต็มทั้งจังหวัด

จึงไม่ทราบว่าตลอดกว่า 17 ปี การดับไฟใต้ระลอกใหม่ของ กองทัพภาค 4” ไม่ว่าจะในชื่อและในรูปแบบต่างๆ ที่สืบเนื่องมาจนปัจจุบันที่เรียกกับว่า กอ.รมน.ภาค ส่วนหน้า” นั้นมีนโยบายอย่างไรกับพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลา และโดยเฉพาะกับ อ.จะนะ ที่เป็นพื้นที่กันชนพิเศษให้ศูนย์กลางเศรษฐกิจอย่าง อ.หาดใหญ่

จำได้ว่าเคยมีการใช้ มาตรา 21” ในพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลาให้แนวร่วมยอมออกมารายงานตัว เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการไม่มีความผิดทางอาญา แต่ยกเว้นผู้ที่มีคดีอาญาเก่าติดตัว ซึ่งจะต้องไปแก้ต่างในกระบวนการยุติธรรมกันต่อไป

แต่สุดท้าย ม.21 ก็ “ไม่จูงใจ” ให้แนวร่วมขบวนการออกมารายงานตัว จำได้ว่า มีผู้ยอมเข้าสู่กระบวนการนี้ไม่น่าจะเกิน 4 คน และสุดท้ายก็จบลงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ซึ่งก็ไม่ทราบว่า ณ วันนี้ในพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ยังใช้มาตรการเดิมแบบนี้อยู่อีกหรือไม่

สถานการณ์ใน 4 อำเภอของ จ.สงขลา จึงมีสถานะที่ไม่ได้แตกต่างไปจากทั้ง 3 จังหวัดชายแดนใต้ ทั้งที่มีเพียงการเคลื่อนไหวของแนวร่วมบีอาร์เอ็นอยู่ในพื้นที่แค่หย่อมเดียวเท่านั้น จากที่ทั้ง จ.สงขลา มีพื้นที่รวมกันแล้วถึง 16 อำเภอ แต่หน่วยงานความมั่นคงก็ยัง “เอาไม่อยู่” ทั้งที่ปฏิบัติการต่างๆ ก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลย

สรุปคือสถานการณ์ชายแดนใต้ห้วงที่เชื้อโควิด-19 แพร่ระบาด ซึ่งกระทบทั้งด้านความมั่นคง การพัฒนาและการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนจนชงักะงันและซ้ำเติมความเลวร้ายมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับบีอาร์เอ็นกลับไม่มีผลประทบใดๆ เลย งานการทหารและการเมืองในพื้นที่รวมถึงในมาเลเซียและในระดับสากลก็ยังเดินหน้าไปได้

หลังการระบาดโควิด-19 คลี่คลาย อาจจะได้เห็นการขับเคลื่อนงานในปีกการเมืองของบีอาร์เอ็นเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะการขับเคลื่อนผ่าน ภาคประชาสังคม” ในพื้นที่ที่เชื่อมต่อกับองค์กรระหว่างประเทศอย่าง เจนีวาคอลล์” และคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC)

ส่วนงานการทหารก็อาจจะรุนแรงมากขึ้นอีก เพื่อให้สอดรับกับงานการเมืองและปัญหามวลชนที่ทุกข์ยากจาก “ภัยแทรกซ้อน” จากโควิด-19 ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า หน่วยงานรัฐ” ดูแลหรือช่วยเหลือไม่ได้อย่างทั่วถึง จึงกลายเป็นจุดอ่อนให้บีอาร์เอ็นใช้โจมตีการบริหารของรัฐบาล

ความคาดหวังที่จะเห็นฝ่ายความมั่นคงแก้ปไฟใต้ได้ตรงจุดกลับมลายหายไปสิ้น ความจนชินชาคลี่ม่านมาทาบทับจนไม่กล้าคาดหวังอะไรได้อีกแล้ว

ที่กล่าวมาล้วนถือเป็น “งานหนัก” และ “งานใหญ่” ก็จริง แต่ในเมื่องานเล็กๆ อย่างการติดตามปืนสงคราม 20 กระบอกของกองร้อยอาสาสมัครรักษาดินแดนที่ 2 จ.นราธิวาส ผ่านมา 2 เดือนแล้ว ยังไม่มีวี่แววของทั้งปืนและคนร้ายปรากฏให้เห็น

ณ เวลานี้สังคมจึงทำได้แค่เพียง ปลงอนิจจัง

โจรในเครื่องแบบ” ยังจับได้ยากจับเย็นแสนเข็ญ แล้วจะให้จับโจรแบ่งแยกดินแดน” สำเร็จได้อย่างไร?!


กำลังโหลดความคิดเห็น