โดย..ไสว รุยันต์
หลังจากที่จังหวัดพัทลุงได้กำหนดราคากลาง “สัญญาสัมปทานรังนก” รอบใหม่ระยะเวลา 5 ปีไว้ที่ 500 ล้านบาทเท่าเดิม แต่ปรากฏว่า ไม่มีผู้ใดมายื่นขอสักราย ทำให้ที่ประชุม “คณะกรรมการจัดเก็บอากรรังนกอีแอ่น จ.พัทลุง” ซึ่งมีนายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผวจ.พัทลุง เป็นประธาน จึงได้มาหารือกันใหม่
ปรากฏว่า กรรมการส่วนใหญ่เห็นชอบแบบไม่มีการลงมติ แต่ถือให้เป็นเอกฉันท์ว่า ปรับราคากลางลงเหลือ 450 ล้านบาท แต่ขอมีสัญญาแนบท้ายเป็นการจัดซื้อรถตู้ 1 คัน รถยนต์กระบะ 4 ประตู 2 คัน และเรือหางยาวอีก 1 ลำ รวมมูลค่าประมาณ 7-10 ล้านบาท โดยให้เปิดขายสัญญาจนถึงวันที่ 2 มิ.ย.64 และจะเปิดประมูลในวันที่ 14 มิ.ย.ที่จะถึงนี้
แต่ก่อนการเปิดขายสัญญา บรรดาผู้นำองค์ปกครองส่วนท้องถิ่น นำโดยนายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร นายก อบจ.พัทลุง และนายกเทศมนตรีตำบลในพื้นที่ จ.พัทลุง ประมาณ 50 คน ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ ผวจ.พัทลุงขอให้ทบทวนราคากลาง เนื่องจากเห็นว่าราคากลาง 450 ล้านบาทนั้น ทำให้จังหวัดเสียผลประโยชน์ เพราะแต่เดิมตั้งไว้ 500 ล้านบาท และเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนรายใดรายหนึ่ง โดยเห็นว่า ราคากลาง 475 ล้านบาท น่าจะเหมาะสมที่สุด
ผวจ.พัทลุงหลังรับหนังสือก็รับปากและขอดูรายละเอียด รวมทั้งอำนาจของกรรมการจัดเก็บอากรรังนกอีแอ่นอีกครั้ง เพราะที่ผ่านมาได้ดำเนินการตาม พ.ร.บ.รังนกอีแอ่น พ.ศ.2540 แล้ว ที่สำคัญสัญญาจะหมดลงในวันที่ 14 มิ.ย. เกรงว่าเมื่อถึงเวลาจะไม่มีผู้ยื่นสัมปทานรังนก และจะเกิดปัญหาการดูแลเกาะรังนกอย่างแน่นอน
เกาะรังนกของ จ.พัทลุง ที่พูดถึงนั่นก็คือ หมู่เกาะสี่เกาะห้า ท้องที่หมู่ 3 ต.เกาะหมาก อ.ปากพะยูน เป็นแหล่งผลประโยชน์มหาศาลที่รับรู้กัน ก่อนนั้นเมื่อครั้งยังไม่มีระบบสัมปทานเข้าไปดูแล เกาะรังนกแห่งนี้เคยถูกขนานนามให้เป็นแดนมิคสัญญีมาแล้ว มีการฆ่ากันตายหมู่แบบใบไม้ร่วง ศพเกลื่อนทะเล ไม่มีชาวประมงคนไหนกล้าแล่นเรือเข้าเทียบฝั่งที่หมู่เกาะรังนกได้ เพราะหากเข้าไปก็จะมีเสียงปืนดังสนั่นออกมาทักทาย
นอกจากนี้ เมื่อครั้งยังใช้ พ.ร.บ.รังนก 2482 ซึ่งเป็นกฎหมายเก่า ที่ให้อำนาจบริษัทผู้รับอนุญาตสัมปทานมากเกินไป อนุญาตให้ยิงปืนขับไล่ผู้บุกรุก จนไปสู่การกระทำเกินกว่าเหตุอยู่บ่อยครั้ง และบทลงโทษผู้บุกรุกต่ำเกินไป จึงมีคนกล้าที่จะเข้าไปขโมยรังนกบนเกาะ
แต่ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์พนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัท รังนกแหลมทอง (สยาม) จำกัด สังหารโจรขโมยรังนกตายหมู่ 10 ศพ เมื่อวันที่ 21 ต.ค.2535 หลายฝ่ายจึงให้ความสนใจหมู่เกาะรังนกมากขึ้น แต่ยังไม่ทันจะแก้ปัญหาอะไรก็ได้เกิดเหตุ รปภ.บริษัทฯ เดิม สังหารโจรขโมยรังนกอีก 4 ศพ ในวันที่ 12 ก.ค.2537
หลังจากนั้น ส.ส.จังหวัดภาคใต้กว่า 20 คนได้ร่วมกันเสนอร่าง พ.ร.บ.อากรรังนก (แก้ไข พ.ร.บ.รังนก 2482) เข้าสู่รัฐสภาในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย แต่สภาถูกยุบเสียก่อน กฎหมายจึงตกตามไปด้วย และมีการเสนอกฎหมายเข้าไปใหม่ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จนผ่านความเห็นชอบและมีผลบังคับใช้ในปี 2540 เรียกว่า “พ.ร.บ.อากรรังนกอีแอ่น 2540”
“กฎหมายใหม่” กำหนดอำนาจการควบคุมดูแลหมู่เกาะรังนกให้เป็นของคณะกรรมการระดับจังหวัด แต่ในปี 2540 ที่ยังควบคุมไม่ได้แบบเบ็ดเสร็จ ปรากฏว่า มีการต่อสัญญาให้บริษัทรายเดิมก่อนกฎหมายใหม่บังคับเพียง 1 เดือน โดยสัญญาฉบับนี้ทำขึ้นในปี 2540 แต่ระบุว่ามีผลบังคับใช้ระหว่างวันที่ 1 พ.ย.2541 ถึง 31 ต.ค.2546 เป็นการต่อสัญญาล่วงหน้า ก่อนสัญญาฉบับเก่าจะหมดอายุถึง 1 ปีเศษๆ ทำให้กรรมการระดับจังหวัดเปิดประมูลใหม่ไม่ได้ ต้องรอสัญญาดังกล่าวหมดอายุลงในปี 2546
ปัญหาการดูแลเกาะรังนก ถ้าไม่มีผู้รับสัมปทานจังหวัดต้องเจอศึกหนักแน่ เพราะก่อนแก้กฎหมายก็มีการลักขโมยกันมาตลอด หลังจากแก้กฎหมายแล้วยังมีการลักขโมยเหมือนเดิม ด้วยผลประโยชน์ที่มีมูลค่ามหาศาล มีแหล่งรับซื้อแถวทะเลสาบสงขลาแล้วส่งไปขายต่อตลาดมืดที่ อ.หาดใหญ่ อีกสาเหตุหนึ่งที่โจรนิยมมาขโมยที่หมู่เกาะสี่เกาะห้ามากกว่าจังหวัดอื่น เพราะอยู่กลางทะเลสาบน้ำตื้น ห่างจากแผ่นดินใหญ่ไม่ไกลนัก สะดวกต่อการเข้าไปขโมย เพราะเดินล่องน้ำไปขโมยได้
เมื่อก่อนมีข่าวลือกันหนาหูว่า เจ้าหน้าที่มีหน้าที่ไปเฝ้าเกาะรังนกมักมีส่วนพัวพันหรือเป็นโจรเสียเอง หรือถ้าส่ง อส.ไปเฝ้าร่วมกับตำรวจ ปรากฏว่า อส.จะไปลักขโมยเสียเอง แม้กระทั่งยามก็เคยปรากฏว่าขโมยรังนกอีกด้วยเช่นเดียวกัน ว่ากันว่า เมื่อมีการย้ายสับเปลี่ยนภารกิจของตำรวจในแต่ละครั้ง ตำรวจน้อยใหญ่ต่างวิ่งเต้นอยากไปเฝ้าเกาะรังนกกันจ้าละหวั่น
นอกจากนี้ ใน จ.พัทลุงตอนนี้เหมือนว่าจะมีปัญหาเรื่องการทำงาน ลือกันทั้งจังหวัดว่า ผู้ว่าฯ เหมือนมือเปล่า แม้กฎหมายให้อำนาจไว้ประหนึ่งให้ดาบ แต่เหมือนดาบนั้นจะหายไปจากมือ ใครๆ ก็ลือกันว่า “ผู้ว่าฯ ไร้ดาบ”
ดังนั้น ปัญหาการรักษา “เกาะรังนก” ในยามปลอดผู้รับสัมปทานของท่านผู้ว่าฯ จ.พัทลุง จึงไม่แปลกใจว่า เหตุใดจึงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ยิ่งในยามที่ “ผู้ว่าฯ ไร้ดาบ” ยิ่งไปกันใหญ่!