นราธิวาส - ผู้การตำรวจภูธรนราธิวาสขอเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ จับโจรขโมยปืน อส.เมืองนราธิวาส ชี้ต้องแยกประเด็นระหว่างปืนหายจากคลัง กับปืนที่ถูกคนร้ายปล้นชิง เผยที่มาของคดีพบ 1 ใน 28 กระบอกอยู่กับโจรใต้ที่ถูกวิสามัญ ด้าน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าชี้ไม่ได้หายในครั้งเดียว แต่ทยอยหายมาหลายปี
วันนี้ (25 พ.ค.) จากกรณีที่นายมะยูโซ๊ะ กูเดะ ปลัดอำเภอเมืองนราธิวาส แจ้งความต่อ สภ.เมืองนราธิวาส ว่า อาวุธปืน AK 102 ของกองร้อยอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) อ.เมืองนราธิวาส ที่ 2 สูญหาย 28 กระบอกนั้น
พล.ต.ต.นรินทร์ บูสะมัญ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.นราธิวาส (ผบก.ภ.จ.นราธิวาส) เปิดเผยว่า ที่มาที่ไปของคดีนี้เกิดจากเหตุการณ์คดีที่เกี่ยวข้อง โดยเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 กรณี นาวาเอกธงฉาน บุญระเทพ ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจพราน นาวิกโยธิน พ.ต.อ.ดุลมาน แยนา ผกก.สภ.บาเจาะ ได้ร่วมสนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษร่วม จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่ศูนย์ซักถามและรวบรวมข่าวสาร ฉก.นย.ภต. จำนวน 4 ชุดปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายในการบุกจู่โจมตรวจค้นเป้าหมาย จำนวน 7 จุด ในพื้นที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เพื่อกดดันสมาชิกกองกำลังติดอาวุธในช่วง 10 วันสุดท้ายในช่วงเดือนรอมฎอน หรือถือศีลอด ในการป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่ง 1 ใน 7 เป้าหมาย เป็นบ้านปูน 2 ชั้น เลขที่ 3 ม.9 ต.บาเจาะ ที่เจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังกันโอบล้อม ก่อนที่จะแสดงตัวเพื่อขอตรวจค้น แต่คนร้ายที่หลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวได้ใช้อาวุธปืนสงครามยิงใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่จนทั้ง 2 ฝ่าย ได้ยิงปะทะกัน
ผบก.ภ.จ.นราธิวาส กล่าวว่า เมื่อเสียงปืนสงบลงเจ้าหน้าที่ได้เคลียร์พื้นที่โดยรอบของบ้านหลังดังกล่าว พบศพนายซูไรดิน กะแต หรือ มะดง อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 34/2 ม.5 ต.บาเจาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ถูกวิสามัญเสียชีวิตอยู่บริเวณด้านในของประตูหลังบ้านดังกล่าว โดยมีอาวุธปืนสงคราม AK102 จำนวน 1 กระบอก ตกอยู่ที่ข้างศพ และมีอาวุธปืนพกขนาด 11 มม. ตกอยู่ห่างจากศพ ประมาณ 5 เมตร จำนวน 1 กระบอก และมีปลอกกระสุนปืนของคนร้ายตกกระจายเกลื่อนทั่งบริเวณ จำนวนกว่า 100 ปลอก เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบและเก็บรวบรวมหลักฐาน
“จากการตรวจสอบพิสูจน์หลักฐาน พบว่า ปืนที่คนร้ายใช้ในการก่อเหตุดังกล่าวข้างต้น เป็นปืนที่หายไปจากคลังปืนกองร้อย อส.จังหวัดนราธิวาส จึงประสานฝ่ายปกครองและส่วนรับผิดชอบ ซึ่งฝ่ายปกครองได้มีการตรวจสอบในเวลาต่อมา ว่ามีปืนในคลังปืนหายไปรวม 28 กระบอก ทั้งหมดมีหมายเลขทะเบียนคุมอาวุธปืนดังกล่าว” ผบก.ภ.จ.นราธิวาส กล่าว
พล.ต.ต.นรินทร์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้มีการสืบสวนทางลับ ไม่ได้มีการพยายามปิดข่าวแต่อย่างใด และได้มีการสั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ กองสืบสวน ตรวจสอบปืน อส.ร่วมกับฝ่ายปกครอง ในพื้นที่ 13 อำเภอ ที่มีการร้องมาว่า มีปืนหาย การสอบสวนพบว่า ปืนที่หายในอำเภออื่นไม่เกี่ยวข้องกับปืนหาย แต่เป็นคดีเกี่ยวข้องกับเหตุความไม่สงบที่มีคนร้ายชิงปืนจากเจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้าย นั่นคือต้องแยกประเด็นให้ชัดกรณีปืนหาย 28 กระบอก หายแบบไหนอย่างไร ซึ่งหลังจากนี้ไปเจ้าหน้าที่จะได้ประสานฝ่ายปกครองเพื่อนำสอบต้องสงสัย ผู้ที่เข้าเวรยาม เจ้าหน้าที่ธุรการ เบิกจ่ายอาวุธปืนราชการ และบุคคลต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องจะนำมาสอบปากคำในชั้นสอบสวน เพื่อดำเนินคดีเข้าสู่กระบวนการกฎหมาย และใช้เวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ จะทราบถึงความคืบหน้า ไม่มีการปกปิดแต่อย่างใด เพราะเป็นคดีสำคัญของบ้านเมือง
“มีความห่วงใยในเรื่องนี้ เพราะถ้าตกอยู่ในมือของคนร้าย หรือโจรก่อการร้าย คนร้ายก็จะใช้ปืนในการก่อเหตุความไม่สงบกระทบประชาชนพื้นที่อย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งมองว่าปืนจะอยู่ในมือโจรทั้งหมด ต้องรอผลการสอบสวนถึงรายละเอียดที่ชัดเจนตามพยานหลักฐาน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเร่งดำเนินการเพื่อให้เกิดความกระจ่าง และเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายต่อไปอย่างแน่นอน” ผบก.ภ.จ.นราธิวาส กล่าว
ด้าน พ.อ.วัชรกร อ้นเงิน รองโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) กล่าวว่า นายอำเภอจังหวัดนราธิวาสได้ตรวจสอบสถานภาพของอาวุธปืนเมื่อเดือน พ.ย.2563 พบว่าหายไป 1 กระบอก จึงได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อรวบรวมอาวุธปืนที่สูญหายทั้งหมดในห้วงที่ผ่านมาว่าหายจากสาเหตุอะไรบ้าง โดยพบว่า ปืนหายไปในห้วงที่ผ่านมา จำนวน 28 กระบอก เป็นการทยอยหายในหลายปี และมาสรุปยอดรวม จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ บางส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุก่อความไม่สงบ บางส่วนก็ไม่ใช่ และมีเพจหนึ่งนำไปเสนอข่าว แต่ลงรายละเอียดไม่ครบถ้วน
“อาวุธปืนทั้ง 28 กระบอกไม่ใช่เพิ่งหายและไม่ได้หายไปในล็อตเดียวกัน แต่เป็นการทยอยหาย หรืออาวุธปืนหายสะสมในภาพรวมในห้วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งนายอำเภอ จ.นราธิวาส ได้สำรวจสถานภาพของอาวุธปืนใหม่ว่า มีอยู่จำนวนเท่าไร หายไปอีกกี่กระบอก แต่มีความพยายามเชื่อมโยงตามที่มีการนำเสนอข่าวนี้ออกไปให้เป็นประเด็น เพื่อหวังสร้างความตื่นกลัว” โฆษกกอ.รมน.ภาค 4 สน.กล่าว