ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ครอบครัวแม่ตีลูกสาวรุนแรงกลับมาอยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่นอีกครั้ง แม่ยอมรับตีลูกแรงเกินไปจริงและเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมเตรียมแจ้งความกลับเพจข่าวท้องถิ่นที่ระบุว่าตนเป็นโรคประสาทเพราะไม่เป็นความจริง
วันนี้ (18 พ.ค.) ความคืบหน้ากรณีที่มีการแชร์คลิปภาพแม่คนหนึ่งได้ลงมือทุบตีลูกสาวบริเวณหลังบ้าน ทั้งด่าทอด้วยคำหยาบ จิกผมมาตีเพราะโกรธที่ลูกสาวไม่ทำตามคำสั่ง ซึ่งเด็กร้องกรีดลั่นด้วยความตกใจและหวาดกลัว ก่อนที่จะมีเพื่อนบ้านที่เป็นผู้ชายจะมาช่วยเด็กเอาไว้ ซึ่งหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.สงขลา เจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรม จ.สงขลา และตำรวจ สภ.หาดใหญ่ รีบเดินทางเข้าไปที่บ้านหลังนี้ แต่เบื้องต้น ยังไม่สามารถทำอะไรได้เพราะลูกยังต้องการอยู่กับแม่ และผูกพันกับแม่มากแม้จะโดนตีก็ตาม และจะมาทำบันทึกข้อตกลงกับแม่อีกครั้ง หากทุบตีลูกอีกจะเข้าแจ้งความดำเนินคดี
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านหลังนี้อีกครั้ง ซึ่งเป็นบ้านย่านถนนรัตนอุทิศ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พบว่า บรรยากาศภายในบ้านกลับมาเป็นปกติ แม่และลูกสาวทั้ง 3 คนอยู่ด้วยกันตามปกติและอบอุ่น แม่อารมณ์ดีขึ้น ส่วนลูกสาวที่ถูกตีก็เล่นกับพี่สาวและน้องสาวอยู่ในบ้าน สวนทางกลับคลิปเมื่อวานนี้อย่างสิ้นเชิง
ผู้เป็นแม่อายุ 30 ปี รายนี้บอกกับผู้สื่อข่าวยอมรับว่า เมื่อวานนี้ทุบตีลูกแรงเกินไปจริง เพราะโกรธที่ลูกสาวเล่นของเล่นแล้วไม่เก็บ โดยใช้ไปเก็บหลายครั้งแต่ยังเฉย แต่หลังจากทุบตีก็มานั่งเสียใจ และพูดคุยกับลูกสาวอธิบายให้เข้าใจว่าทำไมแม่จึงตี ซึ่งหลังจากนี้ทุกอย่างเป็นปกติ กระทั่งมีเจ้าหน้าที่มาที่บ้าน
ด้านลูกสาวคนโตอายุ 11 ปี บอกว่า เมื่อวานนี้น้องทำผิดจริง เล่นของเล่นเพ่นพ่าน และแม่ใช้ให้ไปเก็บหลายครั้งแต่ไม่ทำจึงถูกแม่ตี ส่วนน้องที่ถูกแม่ตีเองเมื่อเข้าไปดูคอมเมนต์ในสื่อโซเชียลก็สงสารแม่ที่มีคนมาด่าแม่รุนแรง เพราะความจริงตัวเองก็ผิดเช่นกัน
ในขณะที่หญิงสาวผู้เป็นแม่คนนี้บอกว่า หลังจากนี้จะไม่ทุบตีลูกแบบนี้อีก และในวันพรุ่งนี้จะทำบันทึกข้อตกลงกับเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เรื่องนี้อีกครั้ง พร้อมกับจะเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อเพจข่าวท้องถิ่นรายหนึ่งที่เขียนระบุว่า ตนเป็นโรคประสาทและอยู่ระหว่างการรักษาตัว ซึ่งไม่เป็นความจริงเพราะตนปกติดีทุกอย่าง ส่วนคนที่ถ่ายคลิปไปโพสต์ทราบว่าเพิ่งมาที่บ้านหลังนั้นเพียงวันเดียว และเห็นเหตุการณ์เป็นครั้งแรก จะดูว่าเข้าข่ายความผิดใดบ้าง ซึ่งอาจจะแจ้งความเช่นกัน