xs
xsm
sm
md
lg

เพราะความเดือดร้อนจาก "โควิด-19" รอให้สงบก่อนไม่ได้ ศอ.บต.จึงต้องเร่งช่วยเหลือประชาชนชายแดนใต้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

   
โดย..ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล
   


ภาพเจ้าหน้าที่ทหาร ตชด.และฝ่ายปกครอง กำลังอาสาสมัครที่ถูกส่งเข้าปฏิบัติการแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย ทั้งด้าน จ.นราธิวาสและแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย จ.สงขลา ไม่ต้องมีคำอธิบาย ก็รู้ได้ว่า นั่นคือการตรวจเข้มแนวชายแดน เพื่อป้องกันการหลบหนีเข้าเมือง หลังจากที่ประเทศมาเลเซียมีการออกข่าวจากรัฐบาลมาเลเซียว่า ตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียในบางพื้นที่ของมาเลเซียแล้ว

ต้องยอมรับว่า “โควิด-19” ที่มีการระบาดในประเทศมาเลเซียเป็นสายพันธุ์ “แอฟริกา” ที่สร้างปัญหาต่อการป้องกันให้แก่รัฐบาลมาเลเซียเป็นอย่างมาก แม้ว่าวันนี้ มาเลเซียจะระดมฉีดวัคซีนถึง 5 ยี่ห้อให้แก่คนในประเทศไปแล้วถึงร้อยละ 40 ของประชากร แต่การระบาดใหม่ในแต่ละวันยังมีผู้ติดเชื้อวันละ 2,000 กว่าคนมาโดยตลอด และหากเกิดติดเชื้อสายพันธุ์อินเดียเข้ามา ความรุนแรงและความน่ากลัวจะขนาดไหน


โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งมีแนวชายแดนที่ติดกับประเทศมาเลเซีย ทั้งด้านของรัฐเปรัก กลันตัน ใน จ.นราธิวาส และยะลา ด้านรัฐเปอร์ลิส และเกดะห์ ใน จ.สงขลา ถ้าเกิดปล่อยให้มีผู้ติดเชื้อทั้งสายพันธุ์แอฟริกาและอินเดีย หลบหนีเข้าเมืองมาแพร่เชื้อในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะส่งผลเสียหายให้แก่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ขนาดไหน

ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ในฐานะที่เป็นหน่วยงานด้านการพัฒนา ที่รับผิดชอบจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีหน้าที่ในการ บูรณาการ กับทุกหน่วยงานเพื่อเยียวยาแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถือว่าปัญหาที่เกิดจากการระบาดของ โควิด-19 ในระลอกที่ 3 เป็นเรื่องความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องมีการแก้ไขทั้งในระยะสั้น และระยะยาวให้ทันท่วงที

พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้กล่าวว่า ศอ.บต.ได้ดำเนินการอย่างเร่งด่วนในเรื่องการทำความเข้าใจกับสถานการณ์ของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ในด้านการช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนเฉพาะหน้า และการช่วยเหลือผู้ที่ตกงานจากการที่มาเลเซียปิดประเทศ ซึ่งเป็นการวางแผนในระยะยาว เพื่อให้คนตกงานกลับไปทำงานในประเทศมาเลเซียอีกครั้ง หลังประเทศผ่านพ้น “วิกฤต” ของโควิด-19 ไปแล้ว


เรื่องเฉพาะหน้าที่ต้องดำเนินการเร่งด่วนคือ การประชาสัมพันธ์ สื่อสาร สร้างการรับรู้ให้แก่คนในพื้นที่ในเรื่องการระบาดของโควิด-19 เพื่อให้ประชาชนป้องกันการติดเชื้อ การแพร่เชื้อ โดยให้ปฏิบัติตามกฎกติกา ระเบียบ และคำสั่งของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น คำสั่งของรัฐบาล ผู้ว่าราชการจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด และอื่นๆ เช่น ในเรื่องต้องใส่หน้ากากตลอดเวลา หากไม่ใส่จะต้องถูกจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมาย การงดการละหมาดในมัสยิด และห้ามรวมกลุ่มกันในการปฏิบัติศาสนากิจในเดือนรอมฎอน ซึ่งต้องใช้สื่อทั้งภาษาไทยและภาษามลายูถิ่น เพราะคนในพื้นที่ส่วนหนึ่งยังไม่เข้าใจภาษาไทยอย่างถ่องแท้

รวมทั้งการเร่งประชาสัมพันธ์ สื่อสารให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิของการได้รับการฉีดวัคซีนในกลุ่มของผู้มีโรคประจำตัวร้ายแรง 7 โรค และผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ให้ติดต่อรับการฉีดวัคซีนในช่องทางของหมอพร้อม และช่องทางอื่นๆ ที่มีการกำหนดให้ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งบัณฑิตอาสา อสม. และบุคลากรของ ศอ.บต. ทำการสื่อสารให้ครอบคลุมมากที่สุด และรวดเร็วที่สุด เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงวัคซีนได้อย่างครบถ้วน

เนื่องจากในเดือนนี้เป็นห้วงเวลาของเดือนถือศีลอด หรือเดือน รอมฎอน ที่เป็นเดือนอันประเสริฐของผู้นับถือศาสนาอิสลาม และอาจจะมีการ ออกบวช ภายในวันที่ 12 พฤษภาคมนี้ ดังนั้น ในห้วงเวลาดังกล่าวอาจจะสร้างความอึดอัดให้เกิดขึ้นแก่พี่น้องที่นับถือศาสนาอิสลาม ที่ต้องทำตามกฎระเบียบและคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ทำให้มีข้อจำกัดในเรื่องการปฏิบัติศาสนกิจที่ทำไม่ได้เหมือนในยามที่บ้านเมืองเป็นปกติ ขอให้พี่น้องใช้ความอดทน เพื่อที่จะได้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน


อีกเรื่องหนึ่งที่ ศอ.บต.ได้ดำเนินการคือการช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนเฉพาะหน้าจากการ “ตกงาน” เพราะประเทศมาเลเซียปิดประเทศและผลักดันให้แรงงาน รวมทั้งการทำมาค้าขายทุกประเภทในมาเลเซียต้องเดินทางกลับประเทศ ทำให้มีผู้ “ตกงาน” ไม่ต่ำกว่า 30,000 คนด้วยกัน

ในประเด็นนี้ ศอ.บต.ได้สำรวจหาข้อมูลของผู้ตกงาน และผู้ที่ประสงค์จะกลับไปทำงานในประเทศมาเลเซีย หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยมีการประชุมร่วมกับนายชัยณรงค์ กีรติยุตวงศ์ เอกอัครราชทูตประจำประเทศมาเลเซีย และนายมงคล สินสมบูรณ์
กงสุลใหญ่เมืองโกตาบารู ประเทศมาเลเซีย และได้ข้อมูลว่า ประเทศมาเลเซียขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะสวนปาล์มน้ำมันจำนวนหลายหมื่นคน เพราะแรงงานต่างชาติ ทั้งอินโดนีเซีย กัมพูชา เนปาล และบังกลาเทศถูกให้ออกจากประเทศไปก่อนหน้านี้แล้ว

ศอ.บต.ได้เตรียมการในการให้แรงงานไทย 10,000-12,000 คน ได้มีโอกาสกลับไปขายแรงงานในประเทศมาเลเซียอีกครั้ง หลังมีการเปิดประเทศ โดยให้มีการประสานงานระหว่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และมีค่าตอบแทนที่เป็นธรรม มีสวัสดิการสำหรับแรงงานที่ไปทำงาน ทั้งด้านของความปลอดภัย การพยาบาล และอื่นๆ ไม่ใช่อยู่อย่างผิดกฎหมาย ถูกนายหน้าเรียกค่า หัวคิว ถูกนายทุนเอาเปรียบด้วยการกดค่าแรง การไปทำงานในครั้งหน้าเป็นการทำงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีหน่วยงานของรัฐเข้าไปดูแลรับผิดชอบ


ศอ.บต.เห็นความจำเป็นในการช่วยเหลือผู้ที่ทำงานในประเทศมาเลเซียและต้องเดินทางกลับประเทศเพราะการระบาดของโควิด-19 จนมาเลเซียต้องปิดประเทศตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นมา ซึ่งในการระบาดของโควิด-19 รอบแรกนั้น ศอ.บต.ได้นำผู้ที่ “ตกงาน” กลุ่มแรกๆ ไปทำงานในโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่ จ.เพชรบุรี จำนวนหนึ่ง แต่ก็ยังมีคนว่างงานที่เดินทางกลับจากมาเลเซียและยังไม่มีงานทำอีกจำนวนหนึ่งที่ ศอ.บต.และหน่วยงานอื่นๆ อยู่ระหว่างการช่วยเหลือ

นอกจากนั้น แรงงานบางส่วนที่เดินทางกลับจากมาเลเซีย ซึ่งว่างงาน ศอ.บต.ได้ส่งเสริมให้หันมาทำการเกษตรในพื้นที่ เช่น การปลูกกล้วยหิน ปลูกไม้ไผ่ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ที่ ศอ.บต.ส่งเสริมให้ปลูกเพื่อขายให้แก่โรงไฟฟ้าชีวมวล การส่งเสริมเลี้ยงปูทะเล และอื่นๆ การเพิ่มความรู้ในการทำการค้าขายทางออนไลน์ และการฝึกทักษะอาชีพเพิ่มเติม เพื่อเป็นอาชีพใหม่หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย

จะเห็นว่าในวิกฤตของประเทศที่เกิดจากการระบาดของ “โควิด-19” ตั้งแต่รอบแรกจนถึงระลอกที่ 3 ศอ.บต.ไม่เคยที่จะหยุดนิ่ง เพื่อรอให้สถานการณ์ดีขึ้นแล้วจึง “ขับเคลื่อน” การพัฒนา เพราะความเดือดร้อนของประชาชนคืองานเร่งด่วนที่ ศอ.บต.จะต้องเร่งแก้ไขให้ลุล่วง และแม้จะทำอย่างเต็มกำลัง แต่วันนี้ยังมีผู้เดือดร้อน ยังมีผู้ยากไร้ และถึงขั้นไม่มีจะกินยื่นมือมารอความช่วยเหลือจาก ศอ.บต.อีกจำนวนมาก


กำลังโหลดความคิดเห็น