คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้/ โดย…ไชยยงค์
มณีพิลึก
เบื้องแรกขอบคุณต่อ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ที่ให้ความสำคัญและเห็นถึงอันตรายองค์กรต่างชาติเข้ามายุ่มย่ามมาตรการดับไฟใต้
ล่าสุด จากการสมคบคิดกับ “นายพล” เพียงไม่กี่คนได้ไฟเขียวให้ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC)เปิดอบรมให้ความรู้แก่ผู้นำหน่วยทหารสังกัด กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เกี่ยวกับกฎหมายสากลและกระบวนการสร้างสันติภาพ ก่อนแผนร้ายจะบรรลุผล พล.อ.ชัยชาญ ได้สั่งการให้ล้มเลิกได้ทันท่วงที
แน่นอนไอซีอาร์ซีฉุนขาด แถมว่ากันว่าอาจถึงขั้นฟิวส์ขาดเอาด้วย เพราะเตรียมแผนทุกอย่างไว้เรียบร้อย รวมถึงเช่าห้องประชุมโรงแรมที่ จ.สงขลาแล้วด้วย ขณะที่หน่วยงานความมั่นคงก็ได้ออกหนังสือเชิญ “นายทหารระดับหัวหน้าหน่วย” เข้าร่วมไว้หมดแล้วเช่นกัน
การพยายามที่จะใช้ “ทหาร” เป็นเครื่องมือเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของไอซีอาร์ซีหนนี้นับเป็นครั้งที่ 2 โดยครั้งแรกเมื่อปลายปี 2563 ได้การเตรียมการในรูปแบบเดียวกันไว้เสร็จสรรพ แต่ก็ถูกมาถูกคำสั่งยกเลิกจากส่วนกลาง
แต่เชื่อเถอะ! ความพยายามขององค์กรฝรั่งหัวแดงที่ต้องการเข้ามายุ่มย่ามจนเต็มพื้นที่ปลายด้ามขวานจะไม่จบเพียงนี้ เพราะวันนี้ “ท่านนายพล” ที่เป็นที่ปรึกษาไอซีอาร์ซียังไม่เลิกเล่นบทล็อบบี้ยิสต์ โดยเฉพาะการผลักดันให้ตั้งได้งสำนักงานแห่งใหม่ใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา หลังถูกขับพ้น จ.ปัตตานีมาก่อนหน้าไม่นานนี้
แผนปฏิบัติการของไอซีอาร์ซีที่ผู้เขียนเคยพยายามชี้ให้เห็นกันมาแล้วนั้น หลายเรื่องหมิ่นเหม่ต่อสถาการณ์ไฟใต้ โดยเฉพาะการเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มก้อนภาคประชาสังคมที่เป็น “ปีกทางการเมือง” ของ ขบวนการบีอาร์เอ็น ซึ่งเวลานี้มีตัวเลขยืนยันว่ามีอย่างน้อย 28 องค์กร แถมมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากยังให้ไอซีอาร์ยังอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างต่อไป
สำหรับฝ่ายความมั่นคงนับตั้งแต่ กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กองทัพ และ กอ.รอมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ควรต้องเร่งต้องตรวจสอบว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ไอซีอาร์ซีตั้งสำนักงานแห่งใหม่ใน อ.หาดใหญ่
เพราะในเมื่อรัฐบาลและกองทัพไม่สามารถที่จะสั่งการให้ไอซีอาร์ซีหยุดปฏิบัติการและออกจากพื้นที่ปลายด้ามขวานด้วยปัญหาใดก็แล้วแต่ วิธีการหนึ่งที่น่าจะเป็นทางออกที่ดีคือ ต้องควบคุมให้องค์กรฝรั่งหัวแดงนี้อยู่ในกติกาของเราให้ได้
ต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยมีเอกราช เราไม่ควรมีเรื่องสนธิสัญญาหรือสิทธิพิเศษอะไรสำหรับต่างชาติ ถึงแม้จะเป็นชาติมหาอำนาจก็ตาม ยกเว้นแต่เรายอมที่จะก้มหัวแล้วเอามือกุมเป้าด้วยความเต็มใจ โดยพาะการเห็นแก่ประโยชน์ที่ถูกหยิบยื่นมาให้ แม้จะติดไฟแดงให้ไอซีอาร์ซีต้องยกเลิกการระดมนายทหารที่ชายแดนใต้ร่วมสัมมนาได้สำเร็จ แต่ก็มีข่าวว่า “ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล” เตรียมที่จะจัดงานใหญ่ในลักษณะเดียวกัน ด้วยการสัมมนาให้ความรู้ถึงรากเหง้าของไฟใต้ นัยว่าเพื่อให้หน่วยงานความมั่นคงเข้าใจปัญหาที่ตรงกันช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์
ถ้าเป็นจริงนั่นแสดงว่า 17 ปีแห่งไฟใต้ระลอกใหม่ ซึ่งได้ผลาญพร่างบประมาณไปแล้วหลายแสนล้านบาท มีทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนสังเวยชีพไปแล้วเกือบ 8,000 คน ที่บาดเจ็บพิกลพิการก็อีกหลายหมื่นคนนั้น ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะหน่วยงานความมั่นคงยังไม่เคยเข้าใจเข้าถึงรากเหง้าที่มาที่ไปไฟใต้เลยใช่ไหม
หรือที่ต้องจัดสัมมนาทำความเข้าใจรากเหง้าไฟใต้กันอยู่เรื่อยๆ ของบางหน่วยงาน เป็นเพราะมีงบประมาณมากมายแล้วไม่รู้จะเอาไปทำอะไรให้เกิดประโยชน์มากกว่านี้ หรือไม่ก็เป็นพวกไม่มีงานทำใช่หรือเปล่า
มีคนบอกว่าที่ต้องประชุมทำความเข้าใจรากเหง้าไฟใต้หรือกระทั่งเรื่องของขบวนการบีอาร์เอ็นบ่อยๆ เป็นเพราะมีการสลับสับเปลี่ยนกำลังในพื้นที่อย่างน้อยทุกๆ 6 เดือน ซึ่งเป็นนโยบายและเป็นสิทธิที่ควรจะได้รับเงินเพิ่มพิเศษสำหรับการสู้รบ (พ.ส.ร.) หรือประโยชน์โพดผลอื่นๆ
ถ้าเป็นจริงเช่นกันประชาชนตาดำๆ อย่างเราๆ ท่านๆ ยากที่จะเข้าใจได้ ก็คงต้องยอมรับกันอย่างหน้าชื่นตาบานกันต่อไป
ขณะที่ห้วงเวลา 61 ปีของขบวนการบีอาร์เอ็นกลับไม่มียุทธศาสตร์ใดๆ ที่เปลี่ยนแปลง แผนงานทั้งทางการเมืองและการทหารก็แทบไม่มีอะไรขาดตอน ปฏิบัติการด้านสงครามกองโจรก็มีให้เห็นต่อเนื่อง มีแต่ฝ่ายรัฐบาลและกองทัพนี่แหละที่ต้องเดินตามหลังเขา โดยเฉพาะจัดสัมมนาเพื่อเรียนรู้รากเหง้าไฟใต้แบบไม่จบสิ้น
ท่ามกลางบรรยากาศที่ฝ่ายเรายังมะงุมมะงาหราทำความเข้าใจไฟใต้ วันนี้ “เจนีวาคอลล์” กลับนำบีอาร์เอ็นโกอินเตอร์ไปแสดงบทบาทในเวทีโลกแล้ว แถม สหประชาชาติ (UN) และ องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ยังประกาศรับรองสถานะความเป็นตัวแทนชนชาวมุสลิมภาคใต้ของไทยไปแล้วด้วย
ส่งผลให้ในวันนี้ไอซีอาร์ซีจึงสามารถเข้ามาแสดงบทบาทเป็น “คนกลาง” ในการไกล่เกลี่ย เพื่อที่อีกไม่นานรัฐไทยอาจจะต้องเฉือนแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้แก่บีอาร์เอ็นไปในที่สุด
ต้องถือว่านี่คือ “จุดอ่อน” ของรัฐบาลและกองทัพที่มุ่งเน้นแต่ในเรื่องสิทธิประโยชน์ของกำลังพล เรื่องการหมุนเวียนกันมาเพื่อสิทธิ พ.ส.ร.อันพึงมีพึงได้ ซึ่งความจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไรหรอก แต่จะเอื้อต่อมาตรการดับไฟใต้ หรืออย่างที่ประชาชนจำนวนมากมองว่าเพื่อหล่อเลี้ยงไฟใต้ไว้ให้ยืนยาว นั่นเป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างคิดกันได้
หรือสรุปแล้วหน่วยงานที่ทำหน้าที่ดับไฟใต้ต่างมองเห็นกองไฟที่กำหลังคุกรุ่นอยู่คนละกอง และไม่เข้าใจวิธีการที่จะทำให้มอดดับได้อย่างไร ต่างคนต่างถือน้ำคนละถังแล้วมุ่งไปราดดับกองไฟที่ตนเห็น ซึ่งนอกจากจะเหนื่อยแล้วยังสูญเสียน้ำโดยเปล่าประโยชน์
ซึ่ง “น้ำ” ที่ว่านี้ก็คือ “งบประมาณ” ที่ถูกทุ่มเทลงไปเพื่อใช้ดับไฟใต้นั่นเอง
หรือว่าหน่วยงานในพื้นที่ที่มีหน้าที่ดับไฟใต้ต่างยังถือ “ชุดความจริง” อันเป็นที่มาของรากเหง้าไฟใต้คนละชุด ผู้เขียนเคยอภิปรายเรื่องนี้ในรัฐสภาและก็เคยเขียนถึงก็หลายครั้ง พร้อมเรียกร้องให้ทุกหน่วยงานนำชุดความจริงที่ถืออยู่มากางบนโต๊ะเดียวกัน แล้วทำให้เหลือเพียงชุดความจริงเดียว แต่ก็ไม่เคยเป็นผล
น่าหัวเราะก็ตรงที่เราอยู่กับไฟใต้ระลอกใหม่มากว่า 17 ปี กลับยังต้องมาสัมมนากันตลอดเพื่อทำความเข้าใจรากเหง้าไฟใต้ แต่ไอซีอาร์ซีมาอยู่ปัตตานีไม่กี่ปีกำลังจะจัดสัมมนาให้นายทหารไทยรู้จักและเข้าใจถึงการทำให้ไฟใต้มอบดับ
โชคดีที่ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ออกมาสกัดกั้นได้ทันท่วงที จึงทำให้คนไทยไม่ต้องอับอายหรือต้องทนอดสูให้แก่องค์กรฝรั่งหัวแดงมากไปกว่านี้