โดย... กรกฎ ทองขะโชค คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
การปล่อยตัวชั่วคราวเป็นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ และผ่อนคลายการจำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องขัง หรือจำเลยจากการควบคุมหรือขัง อันเนื่องจากหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะมีการพิสูจน์ได้ว่ามีความผิดตามกฎหมาย
พิจารณาจากทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติ เป็นทฤษฎีกฎหมายที่สนับสนุนอุดมคติทางกฎหมายเชิงจริยธรรม คือ เป็นการยืนยันความเชื่อมั่นความยุติธรรม ในฐานะเป็นจุดหมายปลายทางของกฎหมาย หรือเป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่จำต้องมีระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรม หรือหลักศีลธรรมจริยธรรมต่างๆ แง่ทฤษฎีเกี่ยวกับสิทธิ ซึ่งสนับสนุนเรื่องสิทธิมนุษยชน
โดยเน้นไปที่สิทธิทางด้านเศรษฐกิจ สังคม
การพัฒนา สันติภาพ ซึ่งหมายความถึงสิทธิที่จะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวด้วย
โดยกฎหมายธรรมชาติตามทฤษฎีนี้ถือว่า สิทธิเสรีภาพของบุคคลเป็นเหตุผลและความยุติธรรมที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ และอยู่เหนือกฎหมายที่ผู้ปกครองรัฐตราขึ้นไว้ ซึ่งอาจมองได้ว่าทฤษฎีนี้เป็นการคำนึงความเป็นธรรม ซึ่งเป็นนามธรรมเกินไป
พิจารณาจากทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง มีแนวคิดปฏิเสธกฎหมายที่สูงกว่า หรือกฎหมายธรรมชาติ สิ่งที่ยอมรับเป็นกฎหมายที่แท้จริงคือ กฎหมายบ้านเมืองหรือกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่เท่านั้น ทฤษฎีกฎหมายบ้านเมืองถือว่าสิทธิเสรีภาพเป็นสิ่งที่รัฏฐาธิปัตย์เป็นผู้รับรองและคุ้มครอง หรือมีที่มาจากคำสั่งของผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองรัฐได้ตราไว้ในการบัญญัติกฎหมาย
ดังนั้น การปล่อยชั่วคราวจึงมีรากฐานมาจากทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง ซึ่งต้องการที่จะมุ่งรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ควบคู่ไปกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคล
การดำเนินคดีอาญาต้องค้นหาความจริงให้ได้มากที่สุด การควบคุมหรือขังผู้ต้องหาหรือจำเลยก็เป็นวิธีการหนึ่งที่จะนำมาสู่การแสวงหาพยานหลักฐาน แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องคุ้มครองสิทธิส่วนตัวของผู้ต้องหาหรือจำเลย ด้วยการชั่งน้ำหนักอย่างยุติธรรมระหว่างผลประโยชน์ของรัฐกับเอกชน
การใช้ดุลพินิจ (Discretion) ให้เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับระบบความยุติธรรมทางอาญา ถ้าเน้นหนักไปในทางกระบวนการทางอาญาแบบกระบวนการนิติธรรม (Due Process) ก็จะมีการจำกัดการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงาน ถ้าเน้นหนักไปในทางกระบวนการทางอาญาควบคุมอาชญากรรม (Crime Control) ก็จะเป็นโอกาสให้ใช้ดุลพินิจอย่างกว้างขวาง
ซึ่งประเทศไทยศาลใช้ดุลพินิจได้อย่างกว้างขวาง ยากที่จะกำหนดขอบเขตได้อย่างแน่ชัด ดังจะเห็นได้จากถ้อยคำต่างๆ ที่ใช้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เช่น แล้วแต่จะเห็นสมควร โดยมีเหตุอันควร เมื่อมีเหตุอันควรสงสัย ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น เมื่อศาลเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ในกรณีของศาล ในระหว่างพิจารณาคดีที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะได้รับสิทธิการปล่อยตัวชั่วคราวให้เป็นอิสระจากาการถูกควบคุมหรือขัง โดยศาลมักจะสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเป็นหลัก
ส่วนการสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเป็นข้อยกเว้นเท่านั้น ในการวินิจฉัยคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราว ศาลจะพึงพิจารณาข้อเหล่านี้ประกอบคือ (1) ความหนักเบาแห่งข้อหา (2) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน (3) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น (4) ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันไม่น่าเชื่อถือ และ (5) การปล่อยชั่วคราวจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานหรือการดำเนินคดีในศาล (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108)
การสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจะกระทำได้ต่อเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อเหตุใดเหตุหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (1) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี (2) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับหลักฐาน (3) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น (4) ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันไม่น่าเชื่อถือ (5) การปล่อยชั่วคราวจะเป็นอุปสรรค หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงาน หรือการดำเนินคดีในศาล
คำสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราวต้องแสดงเหตุผล
และต้องแจ้งเหตุดังกล่าวให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยและผู้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวทราบเป็นหนังสือโดยเร็ว (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1)
ดังนั้น การใช้ดุลพินิจ คือการวินิจฉัย การพิจารณาตามภาวะแวดล้อมแห่งพฤติการณ์ (Circumstances) และรวมถึงการใช้วิจารณญาณในการออกคำสั่งของผู้พิพากษาที่ผู้มีอำนาจนั้นโดยไม่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณหรือการตัดสินใจของผู้อื่น และมีความหมายรวมถึงการใช้ดุลพินิจในการกระบวนพิจารณาความ วิธีการ รูปแบบ ความหนักเบาของข้อหา และองค์ประกอบอื่นๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้การใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมที่สามารถยืดหยุ่นปรับให้สอดคล้องและเป็นธรรมกับข้อเท็จจริงเฉพาะรายได้
โดยคำนึงถึงความยุติธรรมเฉพาะคดี
จากข้อมูลเพจศาลยุติธรรม : สื่อศาล@pr.coj วันที่ 9 มีนาคม 2564 ประเด็นสรุปข้อเท็จจริง และข้อหาตามฟ้องของจำเลยตามสำนวนที่พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องกลุ่มคณะราษฎรต่อศาลอาญา ในการยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว จำเลยทั้ง 18 คน ศาลพิจารณาแล้วไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว น.ส.ปนัสยา นายภาณุพงศ์ และนายจตุภัทร์ จำเลยที่ 1-3
โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง ทั้งมีเหตุอันควรให้เชื่อได้ว่าหากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1-3 จะไปก่อเหตุในลักษณะเดียวกันกับที่ถูกฟ้อง หรือไปก่อเหตุอันตรายประการอื่นอีก จึงไม่สมควรอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ให้ยกคำร้อง
ส่วนจำเลยที่ 4-18 ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยตีราคาประกันคนละ 35,000 บาท
จึงเป็นการใช้ดุลพินิจภายใต้หลักทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง และกระบวนการทางอาญาควบคุมอาชญากรรม เป็นเหตุผลประกอบด้วยการไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราว ด้วยอำนาจตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1(3) เพราะจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น เนื่องจากจำเลย 1-3 ได้กระทำความผิดตามที่ถูกฟ้องมาแล้วหลายครั้ง ในส่วนการแสดงความคิดเห็น หรือการชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่ทำได้โดยชอบธรรม หากการกระทำไม่ขัดต่อกฎหมาย ซึ่งเป็นคนละกรณีกับการกระทำที่ผิดกฎหมาย