ศูนย์ข่าวภาคใต้ - ศอ.บต.มอบบ้านแก่ชาวบ้านในพื้นที่บ้านเนียง ต.เปาะเส้ง อ.เมือง จ.ยะลา ในกิจกรรมไทยพุทธคืนถิ่น เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ พัฒนาคุณภาพชีวิต และสร้างแรงจูงใจไม่ให้อพยพย้ายถิ่นฐานออกนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ในฐานะหน่วยงานด้านการพัฒนา ได้ขับเคลื่อนกิจกรรมสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้กลับคืนเหมือนอดีต ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญที่ ศอ.บต.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นเร่งดำเนินการ โดย ศอ.บต.ได้ดำเนินการกิจกรรมสนับสนุนด้านศาสนาและวัฒนธรรม เช่น กิจกรรมส่งเสริมคนดีมีคุณธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของชาวไทยพุทธไปแสวงบุญ ณ ประเทศอินเดียและเนปาล และชาวไทยมุสลิมไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ ประเทศซาอุดีอาระเบีย กิจกรรมสนับสนุนค่าตอบแทนผู้นำศาสนาในพื้นที่ กิจกรรมละศีลอดสัมพันธ์ กิจกรรมส่งเสริมทำนุบำรุงกิจกรรมทางศาสนา กิจกรรมสืบสานประเพณีทอดกฐิน/ผ้าป่า เพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนา กิจกรรมการสร้างความเข้าใจ และความเชื่อมั่นให้กับชาวไทยเชื้อสายจีน เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ชาวไทยในจังหวัดชายแดนใต้ทุกศาสนาและชาติพันธุุ์
ทั้งนี้ กิจกรรมไทยพุทธคืนถิ่น ศอ.บต. ได้ร่วมกับ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และสมาพันธ์ชาวไทยพุทธทั้ง 3 จังหวัดและ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ดำเนินการช่วยเหลือกลุ่มไทยพุทธเปราะบางที่อพยพย้ายถิ่นฐานออกนอกพื้นที่ และมีความคิดจะอพยพย้ายถิ่นฐานออกนอกพื้นที่ให้กลับคืนถิ่นบ้านเกิด สร้างขวัญและกำลังใจ พัฒนาคุณภาพชีวิต และสร้างแรงจูงใจไม่ให้อพยพย้ายถิ่นฐานออกนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพิ่มเติม
ในปีงบประมาณ 2563 ได้สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซมบ้านให้มีสภาพที่พักอาศัยได้ ให้แก่ชุมชนไทยพุทธเปราะบางขึ้นในพื้นที่จังหวัดยะลา จำนวน 108 หลัง จังหวัดปัตตานี จำนวน 46 หลัง จังหวัดนราธิวาสจำนวน 55 หลัง และจังหวัดสงขลาจำนวน 42 หลัง รวมจำนวน 251 หลัง เพื่อให้มีความมั่นคง แข็งแรง ปลอดภัย โดยผ่านการสำรวจจากเจ้าหน้าที่ ศอ.บต. ร่วมกับศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปพร.) ทหาร ตำรวจ และศูนย์ปฏิบัติการในแต่ละพื้นที่ โดยสำรวจชาวไทยพุทธที่มีฐานะยากจน และพักอาศัยอยู่ในชุมชนเปราะบาง มีแนวโน้มที่จะอพยพออกจากพื้นที่ และล่าสุด พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. เป็นประธานมอบบ้านที่ปรับปรุงใหม่แก่ชาวไทยพุทธในพื้นที่บ้านเนียง ตำบลเปาะเส้ง อำเภอเมือง จังหวัดยะลา จำนวน 9 หลัง เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา
พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวว่า สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กว่า 17 ปี ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งของคนในพื้นที่ ซึ่งผู้เห็นต่างพยายามทำลายสังคมพหุวัฒนธรรม ชี้นำให้เกิดความเข้าใจผิด จนเกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง ประชาชนชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมในพื้นที่เกิดความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะต่อกลุ่มชาวไทยพุทธที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่ที่มีความอ่อนแอ มีความหวาดกลัวและรู้สึกไม่มั่นใจต่อการดูแลและการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจทิ้งบ้านเรือน และอพยพย้ายถิ่นฐานออกนอกพื้นที่จังหวัดแดนภาคใต้
ด้านนางณัชชา คันธวงศ์ ชาวไทยพุทธที่ได้รับมอบบ้านในพื้นที่บ้านเนียง ตำบลเปาะเส้ง อำเภอเมือง จังหวัดยะลา เผยถึงความรู้สึกในครั้งนี้ว่า รู้สึกดีใจและขอขอบคุณที่ ศอ.บต.ตลอดจนทุกภาคส่วนได้ให้การช่วยเหลือ สนับสนุนอุปกรณ์ในการซ่อมแซมบ้านให้สามารถกลับมามีที่พักอาศัย ซึ่งก่อนหน้านี้ตนและครอบครัวได้ย้ายถิ่นฐานและอพยพไปอยู่ต่างจังหวัดนานกว่า 10 ปี เนื่องจากสถานการณ์ในพื้นที่ช่วงนั้นมันร้ายแรงมาก เกิดเหตุการณ์รายวัน จนทำให้ตนใช้ชีวิตลำบาก เกิดความกลัว หวาดระแวงตลอดเวลา แต่ด้วยความปลอดภัยของตนเองและครอบครัวก็ต้องทิ้งบ้าน ทิ้งถิ่นฐานไปอยู่ต่างพื้นที่
จนกระทั่งได้รับข่าวสารจากเพื่อนบ้านว่า ศอ.บต.จะซ่อมแซมบ้านให้ก็ดีใจมาก เพราะที่ผ่านมา ตนคิดเสมอว่าอยากกลับมาใช้ชีวิตอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันที่บ้านเกิดอีกครั้ง มีบรรยากาศที่อบอุ่น สนุก ที่มีชาวไทยพุทธและมุสลิมรักใคร่กลมเกลียว พูดคุยกัน ช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยพึ่งกันและกันทำให้คิดถึงบรรยากาศเดิมๆ เหมือนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ พ.อ.หญิง นพรรษ ชูจันทร์ รองหัวหน้าคณะทำงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ฯ คณะที่ 1 จังหวัดยะลา กล่าวว่า โครงการนี้ประชาชนชาวไทยพุทธเปราะบางมีความพึงพอใจ และพร้อมที่จะกลับมาอยู่ที่บ้านเกิด อยากให้มีบรรยากาศสังคมพหุวัฒนธรรมอีกครั้ง ซึ่งการปรับปรุงบ้านใหม่ที่บ้านเนียง ต.เปาะเส้ง อ.เมือง จ.ยะลา เกิดจากความร่วมมือของเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจและประชาชนละแวกใกล้เคียง ร่วมมือช่วยกันปรับปรุงด้วยความสามัคคี
ทั้งนี้ จากการดำเนินงานของ ศอ.บต. ในการร่วมบูรณาการกับทุกภาคส่วนในการส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ในทุกมิติให้แก่ทุกเชื้อชาติ ได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกัน และนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้ดีขึ้น และใช้ชีวิตอยู่ในสังคมพหุวัฒนธรรมได้อย่างสงบสุข