คอลัมน์: จุดคบไฟใต้ / โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
การก่อเหตุของแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนช่วงกลางดึกคืนวันที่ 30 ต่อเนื่องถึง 31 ม.ค.2564 ที่ จ.นราธิวาส และยังตามด้วยวันที่ 1 ก.พ.2564 ในพื้นที่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี รวมถึงใน อ.จะนะ และ อ.เทพา จ.สงขลา โดยการแขวนป้ายผ้า เผากล้องวงจรปิด ตัดต้นไม้ขวางถนน เผายางรถยนต์ ซุ่มยิง และถึงขั้นลอบวางระเบิดสังหาร ซึ่งตั้งใจจะให้เป็นโศกนาฏกรรมด้วยการคร่าชีวิต 5 ตำรวจ สภ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส แต่โชคยังดีที่แค่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น
ปฏิบัติการของแนวร่วมดังกล่าวถือเป็นการหักล้างคำพูดที่ว่า “เราเดินมาถูกทางแล้ว” และน่าจะทำให้บรรดาผู้นำหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ “หน้าแตกแบบเย็บไม่ติด” ไปตามๆ กัน เพราะก่อนหน้าพยายามออกมาเคลมกันตลอดว่า เป็นผลจากการเปิดเกมรุกด้วยยุทธวิธีกดดันของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐทำให้สถานการณ์ไฟใต้มีแนวโน้มดีขึ้นมาต่อเนื่อง
ตราบใดที่ “ศูนย์กลางอำนาจรัฐส่วนกลาง”
ยังไม่ยอมรับว่าการก่อไฟใต้ระลอกใหม่หนนี้เป็นฝีมือของ “บีอาร์เอ็น” โดยเป็นขบวนการที่มีตัวตนและเป็นผู้สั่งการจริง สถานการณ์ไฟใต้ก็จะน่าเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไป เพราะในสงครามถ้าไม่ยอมรับว่ามี “ข้าศึก” การรบพุ่งก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันรบด้วยซ้ำ
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ “คนนอก” สั่งซ้ายหันขวาหัน “คนใน” พื้นที่ได้ แต่ทั้ง 2 ฝ่ายกับยังเห็นไม่ตรงกัน จึงยังมองไม่เห็นว่าไฟใต้จะสงบลงได้อย่างไร โดยพาะรัฐบาลยังไม่ยอมรับความจริงว่า เป็นเรื่องของขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่กำลังขับเคลื่อนสถานการณ์ให้ไปสู่การตั้งโต๊ะ “เจรจาสันติภาพ” ในระดับสากลที่มีการดึง “องค์การสหประชาชาติ (UN)” เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยมี “เจนีวาคอลล์”และ "ไอซีอาร์ซี (ICRC)" ได้เข้ามาทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้ด้วย
เช่นเดียวกับการผลัดดันการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งวาดหวังให้เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์สำคัญของการดับไฟใต้ โดยได้มอบหมายให้ “ศอ.บต.” เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบ หากฝ่ายความมั่นคงยังไร้เอกภาพเช่นนี้นั่นก็ถือเป็นเรื่องยากที่จะเดินหน้าโครงการใดๆ ได้สำเร็จ
เวลานี้ “เลขาธิการ ศอ.บต.” จะพยายามทุ่มเททำหน้าที่บูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อเดินหน้าโครงการการพัฒนาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาอาชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ หรือกระทั่งต้องลงพื้นที่ร่วมแก้ปัญหาโรคเชื้อราที่เกิดกับยางพารา มิพักต้องพูดถึงงานอื่นๆ อีกมากมายเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในชายแดนใต้
วันนี้การเดินไปข้างหน้าของ ศอ.บต.เพื่อให้เกิดมิติการพัฒนาถือว่าไม่ง่ายนัก แม้ว่าสถานการณ์ความไม่สงบจะลดน้อยถอยลง แต่การเกิดขึ้นของโรคโควิด-19 ระบาดตั้งแต่ต้นปี 2653 จนถึงขณะนี้ นั่นได้ทำให้แผนงานด้านการพัฒนาเกิดผลกระทบอย่างมาก และยังไม่ทราบว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคจะเดินไปอย่างไรและยุติได้เมื่อไหร่
ดังนั้น แผนงานที่ทำมาอย่างต่อเนื่องในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการดึงกลุ่มทุนต่างประเทศทั้งจากจีน และเกาหลีใต้ให้เข้ามาลงทุนในชายแดนใต้ เวลานี้ถึงจะไม่หยุดชะงัก แต่ก็เหมือนจะสะดุดครั้งใหญ่ เพราะไม่สามารถเดินทางได้ ส่วนแผนการค้าผ่านด่านชายแดนทั้ง 9 ด่าน เมื่อที่มาเลเซียยังระบาดหนัก และมีแผนปิดประเทศอีกยาว การค้าชายแดนก็คงจะคืบหน้าไปได้ไม่มากเช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องรับสภาพ
เช่นเดียวกับด้านการท่องเที่ยวที่เคยบูมมากในห้วงก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 รอบแรก แต่เมื่อมีการระบาดระลอก 2 ที่ซ้ำเติมเศรษฐกิจให้ย่ำแย่ลงกว่าเดิม การหวังพึ่งพานักท่องเที่ยวเพื่อให้มีเม็ดเงินเข้ามาสะพัดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งถ้าเรื่องของโรคโควิด-19 ยังไม่จบ การหวังจะพึ่งพาการท่องเที่ยวเดินหน้าเพื่อพัฒนาพื้นที่ก็ยังต้องร้องเพลงรอต่อไป
วันนี้แม้แต่เรื่องของพืชผลเกษตรก็ยังไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหาความยากจน หรือการสร้างและยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คนในชายแดนใต้ เพราะคนทำสวนยางที่ยังอยู่ได้ในขณะนี้เนื่องจากได้รับเงินชดเชย ซึ่งหากกระทรวงพาณิชย์ยกเลิกการประกันราคาเมื่อไหร่ นั่นย่อมหมายถึงความยากจนกระจายจะเกิดขึ้นแน่นอน เช่นเดียวกับผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นทุเรียน ลองกอง มังคุด ที่ต้องอาศัยผู้ซื้อจากต่างประเทศทั้งสิ้น
ตราบใดที่ไม่มีการลงทุนในเรื่องอุตสาหกรรมแปรรูปไม่ว่าจะเป็นยางหรือพืชผลทางเกษตรอื่นๆ ตราบนั้นการพัฒนาชายแดนใต้ก็ยังไม่นับว่าประสบความสำเร็จ ตราบใดที่ภาคใต้ตอนล่างที่อยู่ติดกับมาเลเซียยังไม่มี “ท่าเรือน้ำลึก” เพื่อการส่งออก ตราบนั้นก็ปิดประตูของการส่งเสริมอุตสาหกรรมของภาคใต้ไปด้วย
ยิ่งเมื่อมาเห็นนโยบายของรัฐบาลที่ “ไม่จริงใจ” ในการที่จะแก้ปัญหาในด้านการพัฒนาชายแดนใต้ ยิ่งทำให้มองเห็นชัดว่าต่อให้ ศอ.บต.ทุ่มเทกับการพัฒนาอย่างไม่ต้องหลับต้องนอน สิ่งนี้ก็ยากที่จะพลิกฟื้นพื้นที่ให้กลายเป็นดินแดนแห่ง “ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” อย่างที่ต้องการ
ยกตัวอย่างความโลเลของรัฐบาลต่อปัญหาการพัฒนาเรื่องการส่งเสริม “เมืองต้นแบบที่4” ใน จ.สงขลา เพื่อเชื่อมต่อกับอีก 3 เมืองต้นแบบใน จ.ยะลา จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาส ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในขณะที่เป็นยังควบหัวหน้า คสช.อยู่ด้วยได้ลงนามเห็นชอบตามที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) นำเสนอพร้อมมอบให้ ศอ.บต. เป็นเจ้าภาพขับเคลื่อน
ที่ผ่านมา ศอ.บต.ได้ทุ่มสุดตัวกว่า 2 ปีผลักดันให้บรรลุเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการ แต่เมื่อมีปัญหาการประท้วงจากกลุ่มผู้เห็นต่าง ปรากฏว่ารัฐบาลกลับสั่งให้ชะลอโครงการทันที ล่าสุด เมื่อวันที่28 ม.ค.2564 พล.อ.ประยุทธ์ยังมีคำสั่งแต่งตั้ง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ เป็นประธานคณะทำงานเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการเมืองต้นแบบแห่งนี้ว่ามีความเป็นมาอย่างถูกต้องหรือไม่
ทั้งที่เมื่อวันที่ 17 พ.ย.2563 พล.อ.ประยุทธ์ ก็คือผู้ที่เซ็นคำสั่ง 2 ฉบับ แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 คณะ โดยฉบับแรกตั้ง “คณะกรรมการที่ปรึกษาเพื่อขับเคลื่อนเมืองต้นแบบที่ 4” แถมให้มี พล.อ.ประยุทธ์ เองนั่งเป็นประธาน และคณะที่ 2 คือ “คณะกรรมการยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเมืองต้นแบบที่ 4” โดยให้ พล.อ.ประวิตร เป็นประธาน
จึงเป็นเรื่องที่ทำให้ทุกฝ่ายงุนงงไปกับการบริหารราชการแผ่นดินไปตามๆ กัน โดยเฉพาะในเรื่องของการพัฒนาชายแดนใต้ว่ารัฐบาลจะเอาอย่างไร จริงใจกับการแก้ปัญหาไฟใต้หรือเปล่า พร้อมสู้รบกับบีอาร์เอ็นหรือไม่ และในมิติของการพัฒนาเพื่อสร้างความมั่นคงมั่งคั่งให้เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงหรือแค่ปาหี่
โดยเฉพาะก่อนการอนุมัติให้มีการขับเคลื่อนเมืองต้นแบบที่ 4 ทำไมไม่มีการศึกษาให้รอบคอบ ในเมื่อรัฐบาลทั้งชุดเก่าและชุดใหม่มากมายไปทั้ง “กูรู” ด้านกฎหมายและทางเศรษฐกิจ แต่สุดท้ายนโยบายการพัฒนาทำไมจึงเหมือนกับ “ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่
พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา” ไปได้
เรื่องของเมืองต้นแบบที่ 4 ที่ อ.จะนะ จ.สงขลา วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้พยายามทำให้สังคมเห็นว่าตนเองโปร่งใส ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ที่สำคัญ “ไม่ต้องเกรงใจ” พล.อ.ประวิตร ผู้เป็นเจ้าของโครงการที่ชงเรื่องให้ลงนามเห็นชอบ จึงใช้โอกาสที่มีกลุ่มผู้เห็นต่างลุกขึ้นคัดค้านสั่งชะลอโครงการ แถมให้มีการตรวจสอบด้วย ซึ่งถือเป็นการตรวจสอบทั้ง “พี่ใหญ่” และตนเองเพื่อให้เห็นว่าไม่ผิด ไม่มีผลประโยชน์กับโครงการนี้
การใช้ ร.อ.ธรรมนัส จึงอาจจะเป็นได้ทั้งเกม “ปาหี่” ของรัฐบาล เป็นได้ทั้ง “ทางออก” หากมีการเล่น "ละครลิง" ให้ประชาชนดู และอาจจะเป็นการ “ย้อนเกล็ด” ทางการเมืองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล โดยใช้โครงการเมืองต้นแบบที่ 4 เป็นเครื่องมือทางการเมือง และสุดท้ายอาจจะเปลี่ยน “ผู้เล่น” เพื่อผลประโยชน์โดยมี “เหยื่อ” ที่เป็นทั้งผู้เห็นต่างและผู้เห็นด้วยกับโครงการนี้
ดังนั้น ทั้งผู้เห็นต่างและผู้เห็นด้วยกับโครงการเมืองต้นแบบที่ 4 จึงอย่าเพิ่งเชื่อกับสิ่งที่เห็น อย่าเพิ่งดีใจและเสียใจว่าตนเอง “ชนะ” หรือ “แพ้” เพราะทุกอย่างอาจจะเป็นเพียง “เกมการเมือง” หลังการเสร็จสิ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจน่าจะมีคำตอบที่ชัดเจน
แต่ทั้งหมดทั้งปวงที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้สร้างความสับสนและถูกมองว่าไม่มีความจริงใจกับการแก้ปัญหาเรื้อรัง ทั้งในมิติของความมั่นคงและการพัฒนา ใครได้ใครเสียไม่รู้ แต่ขบวนการบีอาร์เอ็นยิ้มกริ่มกับความสับสนอลหม่านทั้งในเรื่องไฟใต้และการพัฒนาแน่นอน เพราะสามารถชี้ให้มวลชนได้เห็นว่า 7 ปีมาแล้วที่รัฐบาลไม่มีความจริงใจกับปัญหาที่ปลายด้ามขวานนั่นเอง