ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - เปิดรายละเอียดโครงการเสริมรั้วแนวชายแดนไทย-มาเลย์ ตามที่ กอ.รมน.เสนอของบกว่า 600 ล้านบาท จาก คปต. ที่มี “บิ๊กป้อม” นั่งเป็นประธาน พบขอสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง 7.5 กม. วงเงิน 467 ล้านบาท รั้วเหล็ก 15 กม. วงเงิน 114 ล้านบาท รั้วความมั่นคงอิเล็กทรอนิกส์ 6 กม. วงเงิน 52.7 ล้านบาท
จากกรณีที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เสนอโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดระเบียบชายแดนกิจกรรมการเสริมสร้างรั้วตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย ระยะเร่งด่วน แนวเขตชายแดนพื้นที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส งบประมาณเบื้องต้น 642,813,287.13 บาท ต่อที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานนั้น
โครงการดังกล่าวเป็นไปตามข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในคราวประชุมขับเคลื่อนที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เมื่อเดือน พ.ย.2560 จากนั้นในการประชุมร่วมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กับหน่วยงานล่าสุดเมื่อเดือน ธ.ค.2563 กอ.รมน.ได้รับความเห็นชอบให้ขอรับสนับสนุนงบกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 เป็นกรณีเร่งด่วนในการดำเนินโครงการ เพื่อประโยชน์ในการป้องกัน และรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ รวมถึงควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19
สำหรับกิจกรรมที่ กอ.รมน.เสนอ ประกอบด้วย (1) การก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง ริมแม่น้ำสุไหงโก-ลก บริเวณเขต อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ระยะทาง 7.528 กิโลเมตร วงเงินงบประมาณที่ขอ 467,023,729.84 บาท (2) ก่อสร้างรั้วตาข่ายเหล็กชายแดนสูง 2 เมตร ระยะทาง 15 กิโลเมตร วงเงินที่ขอ 114,687,66.27 บาท
(3) ก่อสร้างรั้วความมั่นคงอิเล็กทรอนิกส์ตามแนวทางชายแดน ระยะทาง 6 กิโลเมตร วงเงินขอ 52,750,400 บาท บริเวณชุมชนบ้านตาบา ต.เจ๊ะเห ต.เกาะสะท้อน ต.โฆษิต และ ต.นานาค (4) การสร้างฐานปฏิบัติการชุดเฝ้าตรวจชายแดนไทย-มาเลเซีย จำนวน 3 ฐาน ในพื้นที่บ้านตะเหลียง ต.เกาะสะท้อน บ้านศรีพงัน ต.เกาะสะท้อน และบ้านตาเซะ ต.นานาค อ.ตากใบ วงเงินขอ 6,051,511.02 บาท และ (5) การอำนวยการและการสร้างความเข้าใจ วงเงินขอ 2,300,000 บาท
กอ.รมน.มีแผนงานก่อสร้างระหว่างเดือน ต.ค.2564-ก.ย.2567 อย่างไรก็ตาม แผนงานที่เสนองบประมาณเพื่อจัดการโควิด-19 ระลอกใหม่ มีการเตรียมเสนอของบประมาณรายจ่ายบูรณาการในปี 2565
ด้าน นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้มีหนังสือถึงสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อสนับสนุนโครงการดังกล่าว โดยระบุว่า กระทรวงมหาดไทยพิจารณาแล้วเห็นว่า โครงการดังกล่าวมีส่วนในการสนับสนุนภารกิจการป้องกันชายแดนตามยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง และอาจช่วยเสริมศักยภาพในการแก้ไขปัญหาการสูญเสียดินแดนจากน้ำกัดเซาะตลิ่งได้ โดยมีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการ ดังนี้
(1) ควรสร้างความเข้าใจทั้งประชาชนไทยและมาเลเซีย เนื่องจากวิถีชีวิตของประชาชนทั้ง 2 ประเทศในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะริมฝั่งแม่น้ำสุไหงโก-ลก มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ดำรงชีวิตประจำวัน รวมถึงการติดต่อค้าขายผ่านการข้ามแดนทางแม่น้ำโก-ลกมาตั้งแต่อดีต
(2) กรณีการดำเนินโครงการฯ ในที่ดินเอกชน เห็นควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 1 ส.ค.2550 เกี่ยวกับหลักการและแนวทางปฏิบัติที่ทางราชการขอให้ราษฎรอุทิศที่ดินให้ หรือกรณีเข้าไปดำเนินการในที่ดินของเอกชนเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ร่วมกันที่สำคัญ คือ ให้หน่วยงานที่ได้รับอุทิศ หรือให้เข้าไปดำเนินการในที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน จัดทำหนังสือแสดงความประสงค์เกี่ยวกับการอุทิศ หรือยินยอมให้ทางราชการเข้าไปดำเนินการ หากจดทะเบียนและนิติกรรมรับโอนที่ดินหรือใช้ประโยชน์ร่วมกันกับสำนักงานที่ดินได้ให้ดำเนินการด้วย
(3) กรณีงานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งและรั้วชายแดน ขอให้พิจารณาเรื่องสภาพภูมิประเทศ ปฐพีกลศาสตร์ และสภาพแวดล้อม นอกจากนี้ ในส่วนของงานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งขอให้มีความพร้อมในการจัดเตรียมวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะวัสดุหินใหญ่ที่ต้องใช้จำนวนมาก รวมทั้งต้องพิจารณาเรื่องระดับน้ำของแม่น้ำสุไหงโก-ลก ตามฤดูกาลต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง
(4) เห็นควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 12 ต.ค.2542 และ 10 พ.ค.2548 ที่ระบุไว้ว่า “...หากจะมีการก่อสร้างถนนหรือกระทำกิจการใดๆ ตามบริเวณชายแดน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อสันปันน้ำและหลักเขตแดน ให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบได้ประสานกับกองบัญชาการทหารสูงสุด โดยกรมแผนที่ทหาร และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อร่วมกันตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อนที่จะดำเนินการ” รวมทั้งควรแจ้งประเทศมาเลเซียรับทราบก่อนดำเนินโครงการฯ เนื่องจากงานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งอาจส่งผลต่อเส้นทางเดินน้ำและผลกระทบต่อตลิ่งของประเทศมาเลเซีย