xs
xsm
sm
md
lg

เดอะพีคฯ อุทธรณ์คำสั่งรื้อทิ้ง รอเจ้าของที่ดินยื่นศาลพิจารณาคดีใหม่ โอนลูกค้าลงทุนโครงการหาดสุรินทร์ เผยเสียหายกว่า 1.2 พันล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ผู้บริหารเดอะ พีค เรสซิเดนซ์ เปิดแถลงข่าวหลังศาลปกครองสูงสุดสั่งเพิกถอน น.ส.3 ก. พร้อมดูแลลูกค้า โอนไปลงทุนโครงการที่หาดสุรินทร์แทน อุทธรณ์คำสั่งรื้อทิ้งทั้งโครงการเพื่อรอประเมินความเสียหาย และเจ้าของที่ดินยื่นให้ศาลพิจารณาใหม่ เผยความเสียหายกว่า 1,200 ล้าน

เมื่อเวลา 11.30 น.วันนี้ (2 ก.พ.) ที่โครงการ เดอะ พีค เรสซิเดนซ์ คอนโดมิเนียมหรูหาดกะตะน้อย ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายมนัสนันท์ นรารัตน์วันชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท กะตะบีช จำกัด เจ้าของโครงการเดอะ พีค เรสซิเดนซ์ คอนโดมิเนียมหรูมูลค่า 2,100 ล้านบาท เปิดแถลงข่าวภายหลังศาลปกครองสูงสุดได้สั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดิน น.ส.3 ก.เลขที่ 1863 หมู่ที่ 2 ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นที่ตั้งโครงการเดอะ พีคฯ ออกไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ว่า

ในส่วนของตนและบริษัทกะตะบีชน้อมรับคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุด ในการสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดิน น.ส.3 ก.ที่เป็นที่ตั้งโครงการเดอะพีคฯ และพร้อมที่จะปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนด และบริษัทไม่มีสิทธิที่จะเข้ามาดำเนินการในที่ดินแปลงดังกล่าวอีกนับจากวันที่ศาลปกครองสูงสุดได้สั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดิน แต่ที่เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในวันนี้ เพื่อที่จะสื่อสารไปยังกลุ่มลูกค้า กลุ่มเอเยนต์ และคนภูเก็ต รวมถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ว่าหลังจากนี้ทางบริษัทจะดำเนินการอย่างไรกับโครงการเดอะพีคฯ โดยมีเรื่องหลักอยู่ 2-3 เรื่อง คือ การดูแลลูกค้าที่ซื้อห้องพักของโครงการนี้ไปแล้ว คำสั่งยกเลิกใบอนุญาตก่อสร้างและคำสั่งรื้อโครงการของเทศบาลตำบลกะรน รวมไปถึงเจ้าของที่ดินยืนเรื่องให้ศาลปกครองรับพิจารณาคดีใหม่อีกรอบ


โดยในส่วนของการดูแลลูกค้านั้น ทางบริษัทได้ดูแลลูกค้าเป็นอย่างดี ตั้งแต่ที่ศาลปกครองจังหวัดนครศรีธรรมราชได้สั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินแปลงที่ตั้งของโครงการ จนมาถึงศาลปกครองสูงสุด ซึ่งทางบริษัทยืนยันว่าจะดูแลเงินลงทุนของลูกค้าให้ดีที่สุด โดยแบ่งการดูแลลูกค้าออกเป็น 3 ส่วน คือ กลุ่มลูกค้าที่ยินยอมที่จะโอนเงินลงทุนไปลงทุนในโครงการอื่นของบริษัทที่มีความปลอดภัยกว่า ที่หาดสุรินทร์ เอกสารสิทธิเป็นโฉนด ผ่าน EIA เรียบร้อยแล้ว และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง เป็นโครงการในลักษณะเดียวกัน ตอนนี้มีลูกค้ายินยอมโอนและทำสัญญาแล้วประมาณ 180 ราย และอยู่ระหว่างดำเนินการอีก 170 ห้อง และยังไม่แจ้งความประสงค์ที่จะย้ายกว่า 40 ราย ลูกค้าที่ไม่ประสงค์จะย้ายการลงทุนไปโครงการอื่นเพราะต้องการที่จะซื้อโครงการนี้เท่านั้น ก็คงต้องรอต่อไป ซึ่งไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ที่คดีจะสิ้นสุด

จึงอยากที่จะให้ลูกค้าย้ายไปลงทุนในโครงการที่หาดสุรินทร์แทน และลูกค้าที่ยังไม่มีการติดต่อเข้ามายังบริษัทขอให้ติดต่อเข้ามาและอยากจะให้ย้ายการลงทุนไปโครงการอื่นที่ปลอดภัยกว่าเพราะขณะนี้ยังมีลูกค้าบางส่วนที่ยังรอลงทุนในโครงการ เดอะ พีคฯ ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะสิ้นสุดคดีเมื่อไหร่ แต่หากเป็นโครงการที่หาดสุรินทร์อีกประมาณ 3-4 ปี จะก่อสร้างแล้วเสร็จ ส่วนลูกค้าที่ไม่ยอมย้ายและไม่ยอมที่จะลงทุนต่อที่โครงการมีสิทธิที่จะดำเนินการตามกฎหมายกับทางบริษัท ซึ่งในส่วนนี้มีเพียง 2-3 รายเท่านั้น

“สิ่งที่บริษัททำได้ในขณะนี้ คือ ดูแลเงินลงทุนของลูกค้าให้ดีที่สุด ให้ลูกค้าเกิดความเสียหายน้อยที่สุด โดยลูกค้ากลุ่มหลักๆ จะเป็นจีน รัสเซีย และยุโรป และคนไทยบ้างเล็กน้อย”


นายมนัสนันท์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ทางเทศบาลตำบลกะรน ยกเลิกใบอนุญาตก่อสร้างและมีคำสั่งให้บริษัททำการรื้อทิ้งอาคารทั้งหมด 435 ห้อง ภายใน 30 วัน เพื่อคืนสภาพพื้นที่หลังศาลปกครองสูงสุดสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธินั้น ทางบริษัทได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไปแล้ว ตามสิทธิที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ เนื่องจากทางโครงการทราบมาว่า เจ้าของที่ดินจะยื่นเรื่องขอให้ศาลปกครองพิจารณาคดีใหม่อีกครั้ง และขอคุ้มครองชั่วคราวในที่ดินแปลงนี้ ซึ่งตอนนี้ทางบริษัทยังไม่ทราบว่าศาลจะรับพิจารณาคดีใหม่หรือไม่ แต่ทางเจ้าของที่ดินมั่นใจในเอกสารหลักฐานที่มีอยู่ว่าการออกเอกสารสิทธิถูกต้อง รวมไปถึงทางบริษัทจะต้องให้ทางบริษัทประเมินสินทรัพย์ลงมาประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นว่ามูลค่าเท่าไร เพื่อใช้ในการเรียกร้องค่าเสียหายกับผู้ที่มีส่วนทำให้เกิดความเสียหายกับบริษัท จึงต้องอุทธรณ์คำสั่งของเทศบาลตำบลกะรน

นายมนัสนันท์ กล่าวต่อว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบริษัทไม่ต่ำกว่า 1,200 ล้านบาท จากการที่ได้ลงทุนไปแล้ว แต่เทียบไม่ได้กับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต ที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าปีละ 1-2 หมื่นล้านบาท ที่ดินแปลงนี้ทำให้เกิดข่าวใหญ่โตมาหลายระลอก มีคนหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง เอกสารหลักฐานที่ออกโดยหน่วยงานราชการไม่สามารถยืนยันการได้มาที่ถูกต้องตามกฎหมายได้ ทำให้เกิดความเสียหายกับภาพลักษณ์การลงทุนด้านอสังหาฯ ในภูเก็ต ทำให้นักลงทุนจากต่างชาติเกิดความไม่มั่นใจในการที่จะตัดสินใจมาลงทุนที่ภูเก็ต ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุนในเกาะภูเก็ตแห่งนี้ ที่มีไม่ต่ำกว่า 30 โครงการ มูลค่าการลงทุนปีละ 1-2 หมื่นล้านบาท จึงอยากจะฝากถึงทุกส่วนที่เกี่ยวข้องให้ยอมถอยคนละก้าวเพื่อภูเก็ต ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทถอยมาตลอดตั้งแต่ที่ศาลปกครองสั่งเพิกถอน หยุดการก่อสร้างและดูแลลูกค้าเป็นอย่างดี เพื่อนำภาพลักษณ์ด้านการลงทุนของภูเก็ตคืนมา


กำลังโหลดความคิดเห็น