xs
xsm
sm
md
lg

ต้องมีวิสัยทัศน์และอย่าหลงคารม “BRN” แล้วจะพบหนทางดับไฟใต้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คอลัมน์: จุดคบไฟใต้/ โดย… ไชยยงค์ มณีพิลึก




ทำไมคอลัมน์นี้จึงให้ความสำคัญกับขบวนการแบ่งแยกดินแดน ที่มี บีอาร์เอ็น เป็นแกนนำ และได้เขียนถึงปัญหา “ไฟใต้” มาได้ยาวนาน 30 ปี โดยเฉพาะใน 17 ปีหลังที่เกิด “ไฟใต้ระลอกใหม่” หรือนับแต่เหตุการณ์ปล้นปืนค่ายทหารช่วงต้นปี 2547 เป็นต้นมา

เนื่องเพราะเรื่องราวไฟใต้ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติและได้คร่าชีวิตเจ้าหน้าที่รัฐไม่ว่าจะทหาร ตำรวจ พลเรือน รวมถึงประชาชนไปแล้วกว่า 7,000 ศพ และมีผู้บาดเจ็บมีทั้งพิการติดเตียง สาหัสและไม่สาหัสกว่า 10,000 คน ทำให้มีหญิงหม้ายที่ต้องรับภาระครอบครัวและเด็กกำพร้าอีกจำนวนมากมาย

และทั้งหมดเกิดภายใต้การบงการของ บีอาร์เอ็น

แต่กลับยังมี “ผู้นำ” บางคนของบางหน่วยที่ไม่เชื่อว่า บีอาร์เอ็น มีอยู่จริง และก็ไม่สามารถบอกได้ว่าความสูญเสียมากมายมหาศาลที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของใคร ดังนั้น ถ้ายังตอบไม่ได้ก็อย่าได้ปฏิเสธในเชิง “ปิดบัง” หรือต้องการ “อำพราง”ความจริงที่เกิดขึ้นและยังดำรงอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้

เนื่องจ่ากล่าสุด องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ได้ยอมรับการมีอยู่จริงและยังให้สถานะ บีอาร์เอ็น เป็นตัวแทนของ “มุสลิมภาคใต้” เพื่อข้าสู่กระบวนการเจรจาสันติภาพกับผู้แทนรัฐไทย

นั่นหมายถึงการเป็นตัวแทนของมุสลิมบนแผ่นดินทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้ ของไทย ซึ่งไม่ใช่แค่เพียง 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาสกับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย อันเป็นพื้นที่ที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ขีดวงล้อมให้เป็นพื้นที่ของภัยความมั่นคงเท่านั้น

ถ้าไม่มีการก่อการร้ายที่มีเป้าหมายเพื่อแบ่งแยกดินแดน บีอาร์เอ็น มีหรือที่เอ็นจีโอสากลอย่างองค์กรที่เน้นการตรวจสอบและทำให้แน่ใจว่ากลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่ภาครัฐ ที่เรียกว่า เจนีวาคอลล์ จะยื่นยมือเข้ามาเกี่ยวข้อง และไฉนเลยที่ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) จึงได้เข้าไปตั้งสำนักงานใน จ.ปัตตานีมาแล้ว ก่อนที่จะถูกให้ถอยร่นมายัง จ.สงขลาในเวลานี้

ถ้าไม่ใช่เพราะมีเหตุการณ์ไฟใต้ ไฉนเลยที่ สถานทูตสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และตัวแทนประเทศอื่นๆ จะเทียวไล้เทียวขื่อแถมลงขันตั้งกองทุนเพื่อเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อหวังจัดการประโยชน์แห่งการแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ของไทย

ฉะนั้น การเขียนถึง บีอาร์เอ็น จึงเป็นมหากาพย์ที่หยุดไม่ได้ เพราะนอกจากจะเกี่ยวพันกับการที่สังคมไทยต้องสูญเสียชีวิตทรัพย์สินไปจำนวนมากมายมหาศาลแล้ว ในท้ายที่สุดอาจจะนำพาไปสู่สูญเสียดินแดนหรือสูญเสียอธิปไตยบางส่วนก็เป็นไป

ต้องยอมรับว่า ณ วันนี้ที่ความรุนแรงลดลงไม่ได้เป็นเพราะบีอาร์เอ็นเบื่อหน่ายกับการต่อสู้ที่ยาวนาน หรือคนในชายแดนใต้ที่เป็นมุสลิมและเบื่อหน่ายกับความล้มเหลวของการก่อการร้ายเพื่อแบ่งแยกดินแดนหรือ “แนวร่วม” และ “อาร์เคเค” ที่เป็นกองกำลังติดอาวุธได้สลายตัวมาและเข้าสู่กระบวนการ “พาคนกลับบ้าน” ตามนโยบายสร้างสันติวิธีของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า

แต่อาจเป็นเพราะ 1) เกิดจากความต่อเนื่องในการใช้กำลัง ชป.จรยุทธ์ปฏิบัติการเชิงรุกในพื้นที่มาตั้งแต่ครั้งเมื่อครั้ง “แม่ทัพเดฟ” ต่อเนื่องถึง “แม่ทัพเกรียง” 2)การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่หนักหน่วงในมาเลเซีย และ 3) ผลต่อเนื่องที่ทำให้ทหารปฏิบัติการ “ซีล” แนวชายแดนตลอดพื้นที่เพื่อป้องการโรคระบาด

ทั้งหมดทั้งปวงทำให้ไม่เอื้อต่อปฏิบัติการของทั้งแนวร่วมและอาร์เคเคเกิดขึ้นโดยง่าย และไม่เพียงเท่านั้นการเชื่อมต่อกับระดับ “แกนนำ” ขบวนการที่รัฐกลันตันฝั่งมาเลเซียก็ทำได้แสนยากเย็นหรือแทบปิดประตูด้านการเดินทางข้ามแดนเอาเลยทีเดียว

ความรุนแรงที่สงบชั่วคราวนั้นไม่ได้หมายความว่าปัญหาไฟใต้ยุติ แล้วเราไม่ต้องทำอะไรเลย ถ้าคิดอย่างนี้มีแต่จะทำให้ไฟใต้ยิ่งไม่มีวันยุติ การทำให้ไฟใต้มอดดับได้ ก็มีแต่ต้องมองไปยังอนาคตต้องติดตามแกะรอยแกนนำบีอาร์เอ็นในกลันตันของมาเลเซีย เพื่อให้ “รู้เขา รู้เรา” ตามตำราพิชัยสงคราซุนหวูที่บอกว่า “รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” เท่านั้น

ล่าสุด “สายข่าว” ที่แกะรอยบีอาร์เอ็นในกลันตันแจ้งความเคลื่อนไหวว่า มีการประชุมเพื่อวางแผนให้ “แกนนำ” ในชายแดนใต้ของไทยต้องทำอะไรบ้างในห้วงโควิด-19 ยังระบาดหนักอันเป็นผลต่อเนื่องจากภัยพิบัติน้ำท่วม โดยเน้นให้เป็น “แผนปฏิบัติการที่ยืดหยุ่นตามสถานการณ์” ทั้งระยะสั้นและระยะยาว

โดยให้มุ่งเน้นทั้งงานด้านการเมือง การศึกษา การเงินและการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เช่น ในเรื่องการเงินให้งดเก็บ “ซะกาต” ประสบภัยน้ำท่วม ให้ฝึกฝนการค้าขายทางออนไลน์ ให้สำรวจพื้นที่เพื่อช่วยเหลือแนวร่วมยากจนด้านต่างๆ รวมถึงจัดหาเงินกู้ยืมใช้ลงทุนด้านเกษตรรายละ 10,000 บาท เป็นต้น

ในด้านศาสนาก็มุ่งเน้นให้แนวร่วมเชื่อฟังและทำตามฝ่าย “อูลามะ” ของขบวนการเท่านั้น พร้อมให้เผยแพร่ความเลวร้ายที่เกิดในสำนักจุฬาราชมนตรี โดยเฉพาะเรื่อง “ส่วยฮาลาล” ขณะที่การเสวนาก็อย่าหยิบยกแค่ประวัติศาสตร์ปัตตานี แต่ให้แทรกเรื่อง “เขตปกครองพิเศษ” เพื่อให้คนต่างศาสนาได้แสดงความคิดเห็น

แต่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ ให้เผยแพร่ความเลวร้ายของ “กองทัพ” ในการทำไอโอที่บิดเบือนด้วย ดังนั้น ปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสารที่เราเคยทุ่มงบประมาณจำนวนมาก โดยตั้งเป้าโจมตีขบวนการบีอาร์เอ็นว่าทอดทิ้งแนวร่วมต่างๆ นานานั้น เรื่องนี้จึงเป็นไปได้เพียงตำน้ำพริกละลายแม่น้ำหรือไม่

ส่วนงานการทหารคำสั่งล่าสุดที่ได้รับรู้จากฝั่งกลันตันคือ กองกำลังยังต้องการปืนสั้นอีกมาก เพื่อทดแทนปืนเก่าที่ชำรุด จึงให้เปิดปฏิบัติการแย่งปืนจากฝ่ายตรงข้าม ให้พลพยาบาลอาร์เคเคอยู่กินกับคนของฝ่าย “อีบู” ให้ดำเนินการทางลับ “เก็บ” ผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่และสายข่าวที่เข้ามาหาข่าวในพื้นที่

เพราะฉะนั้นที่มีคนตายที่เป็น “มุสลิม” ในหลายพื้นที่ทุกวัน ซึ่งไม่เกี่ยวกับความมั่นคง อาจจะเป็นฝีมือของแนวร่วมก็เป็นได้ ทั้งหมดนี้คือความเคลื่อนไหวที่หยิบมาบางส่วนเพื่อรักษา “แหล่งข่าว” เพื่อชี้ให้เห็นว่าบีอาร์เอ็นยังเดินหน้าในเรื่องของปฏิบัติการทุกด้านต่อในพื้นที่ชายแดนใต้

ขณะที่ในพื้นที่วันนี้ ไอซีอาร์ซี ได้ใช้ยุทธวิธีถอยเพื่อรุกกลับด้วยการชื่นชม “แม่ทัพเกรียง” ว่าใช้สันติวิธีดับไฟใต้ได้ถูกต้อง ซึ่งเป็นการให้ “ยาหอม” เพื่อนำไปสู่การยินยอมให้ได้มีการตั้งสำนักงานปฏิบัติการในพื้นที่ต่อไปหรือไม่ อันเป็นความหวังดีที่ประสงค์ร้ายหรือเปล่า

ต้องไม่ลืมว่าที่ผ่านมาบีอาร์เอ็นมักใช้วิธีการชื่นชมผู้นำหน่วย “สายเหยี่ยว” และนั่นก็สามารถสร้างผลสะท้อนกลับเป็นเงื่อนไขให้มุสลิมไม่พอใจ จากนั้นก็จะให้ผู้นำศาสนาที่มีอิทธิพลในพื้นที่ส่งสารไปยังผู้นำรัฐบาล เพื่อให้เกิดการโยกย้ายออกนอกพื้นที่นั่นเอง

ยังจำกันได้ไหมว่า โอไอซี ที่เคยนำคณะเดินทางมารับทราบการแก้ปัญหาไฟใต้ ได้เคยชื่นชมรัฐบาลและแม่ทัพภาค 4 ว่า ดูแลมุสลิมชายแดนใต้เป็นอย่างดี แต่แปลกไหมกลับไม่เคยประณามบีอารเอ็นว่าเป็น “ฆาตกร” หรือทำผิดหลักศาสนา

แถมสุดท้ายเวลานี้ โอไอซี กลับยังรับรองสถานะบีอาร์เอ็นว่าเป็นตัวแทนมุสลิมภาคใต้ และสนับสนุนให้เข้าสู่กระบวนการเจราจาสันติภาพ เช่นเดียวกับ เจนีวาคอลล์ และ ไอซีอาร์ซี ที่แบ่งกันทำหน้าที่ ฝ่ายแรกเข้าไปอุ้มชูบีอาร์เอ็นในเวทีสหประชาชาติ ขณะที่ฝ่ายหลังเล่นบทการให้ความรู้การสร้างสันติภาพ ทั้งในปีกการเมืองและปีกการทหารของบีอาร์เอ็น

ถ้าสังเกตทั้ง เจนีวาคอลล์ และ ไอซีอาร์ซี รวมถึง บีอาร์เอ็นไม่เคยพูดถึงกระบวนการ “พูดคุยสันติสุข” ที่ฝ่ายรัฐไทยผลักดันให้เกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว พวกเขารวมตัวกันพูดถึงแต่การ “เจราจาสันติภาพ” จนดูเหมือนความหมายของคำว่า “สันติสุข” กับ “สันติภาพ” ห่างไกลและไม่สามารถไปด้วยกันได้

ดังนั้น การแก้ปัญหาไฟใต้ต้องไม่มองเพียงปัจจุบัน แต่ต้องมี “วิสัยทัศน์” ถึงอนาคตด้วย และที่สำคัญ “ผู้นำ” รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงต้องไม่หลอกตัวเองว่าไม่มี “บีอาร์เอ็น” ถ้าทำได้เช่นนี้ก็น่าจะพบหนทางดับไฟใต้ได้แน่นอน


กำลังโหลดความคิดเห็น