xs
xsm
sm
md
lg

กรมชลประทานดื้อ! สร้างถังปูนคอนกรีตในเขตวัดโดยไม่รับอนุญาต ไม่ยอมรื้อถอนตามคำสั่งศาล ผลาญงบกว่า 33 ล้านใช้ประโยชน์ไม่ได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ชุมพร - เจ้าอาวาสวัดหูรอ จ.ชุมพร ฟ้องกรมชลประทาน สร้างถังปูนคอนกรีตเสริมเหล็กเก็บน้ำในเขตวัดโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้รื้อถอน แต่ยังดื้อแพ่งนานกว่า 2 ปี แฉเป็นหนึ่งในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ใช้งบรวมกว่า 33 ล้าน สร้างเสร็จชำรุดเสียหายชาวบ้านไม่ได้ใช้ประโยชน์


วันนี้ (19 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่วัดหูรอ หมู่ที่ 3 ต.นาชะอัง อ.เมือง จ.ชุมพร หลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านและกรรมการวัดว่า กรมชลประทานได้ก่อสร้างถังปูนซีเมนต์ขนาดใหญ่ภายในเขตวัดโดยไม่ได้รับอนุญาตและยังเดินหน้าก่อสร้างจนแล้วเสร็จ ขณะที่เจ้าอาวาสฟ้องคดีต่อศาล จนมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดและนำดินที่ขุดออกไปกลับมาคืนวัดดังเดิม แม้จะมีคำพิพากษาถึงที่สุดนานนับปีแล้วแต่จำเลยยังดื้อแพ่งโยกโย้เรื่อยมาไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาแต่อย่างใด

โดยผู้สื่อข่าวได้พบกับ พระมหาศุภชัย กิตติปาโล เจ้าอาวาสวัดหูรอ พ.อ.สมเกียรติ พัฒราช ไวยาวัจกรวัด นายธีระพล ชุ่มชื่น ไวยาวัจกรวัด นายธรรมรงค์ รัตนเทพี กรรมการวัด และชาวบ้าน พาผู้สื่อข่าวไปดูถังปูนดังกล่าวสร้างอยู่ภายในบริเวณวัดทางด้านทิศใต้ สภาพสร้างเสร็จนานแล้วแต่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ เป็นถังปูนคอนกรีตเสริมเหล็กสำหรับพักน้ำ ความสูง 5 เมตร ยาว 10 เมตร กว้าง 4 เมตร บรรจุน้ำ 200 ลูกบาศก์เมตร ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 2557 โดยที่ทางวัดไม่อนุญาตหรือยินยอม แต่ก็ไม่สามารถขัดขวางการก่อสร้างได้แม้ว่าขณะนั้นอยู่ในระหว่างฟ้องร้องคดีในชั้นศาลก็ตาม


จากนั้นเจ้าอาวาสวัด ไวยาวัจกร และกรรมการวัดได้นำผู้สื่อข่าวไปดูโครงการแม่ซึ่งเป็นพื้นที่โครงการหลักที่เกี่ยวเนื่องกับถังปูนพักน้ำภายในวัดดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ 6 ต.นาชะอัง อ.เมืองชุมพร ห่างจากวัดหูรอ ประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นอาคารสถานีสูบน้ำโดยมีป้ายโครงการเขียนว่า “โครงการสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำคลองหัววัง-พนังตัก ดำเนินการก่อสร้างโดยกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สนับสนุนงบประมาณโดยสำนักงานคณะกรรมการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้ถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลนาชะอัง ไปบริหารจัดการเพื่อให้ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน”

โดยการก่อสร้างใช้งบประมาณ จำนวน 33,997,200 ล้านบาท แยกเป็นโครงการหลักคือ ตัวอาคารสถานีเครื่องสูบและส่งน้ำที่อยู่ริมคลองหัววัง-พนังตัก และถังพักน้ำเป็นปูนคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ถัง กำหนดสร้าง 3 แห่ง จุดแรกอยู่บนเนินเขาใกล้กับสถานีเครื่องส่งน้ำเป็นถังปูนขนาดใหญ่บรรจุน้ำได้ 500 ลูกบาศก์เมตร จากการตรวจสอบพบว่า สร้างเสร็จนานแล้วแต่ถูกปล่อยทิ้งรกร้าง ท่อส่งน้ำแตกชำรุดอุปกรณ์ส่วนควบระบบต่างๆ เสียหายไม่สามารถใช้การได้


แห่งที่ 2 บริเวณพื้นที่หมู่ 4 ต.นาชะอัง เป็นถังปูนคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดเดียวกับที่วัดหูรอ ซึ่งก่อสร้างเสร็จนานแล้วสภาพปล่อยทิ้งรกร้างชำรุดใช้การไม่ได้เช่นเดียวกัน นอกจากนั้น ได้มีการวางท่อส่งน้ำเลียบไปตามถนนริมคลองหัววัง-พนังตัก เป็นระยะทางกว่า 5 กิโลเมตร เพื่อส่งน้ำให้ชาวบ้านและเกษตรกร ปรากฏว่า บางจุดมีท่อพลาสติกที่ฝังกลบโผล่ขึ้นมาให้เห็นในสภาพแตกชำรุดใช้การไม่ได้เช่นเดียวกัน


พระมหาศุภชัย กิตติปาโล เจ้าอาวาสวัดหูรอ กล่าวว่า กรมชลประทานเข้ามาสร้างถังปูนพักน้ำแห่งนี้ซึ่งเป็นโครงการเดียวกับโครงการหลักดังกล่าวภายในเขตวัดด้วยงบประมาณรวมกว่า 33 ล้านบาท สร้างช่วงที่อาตมาออกไปปฏิบัติศาสนกิจนอกพื้นที่ โดยอ้างว่ารักษาการเจ้าอาวาสในขณะนั้นเป็นผู้เซ็นใบอุทิศที่ดินให้สร้าง เริ่มสร้างในปี พ.ศ.2556 เมื่ออาตมากลับมาวัดก็เห็นมีการปรับพื้นที่ตัดถนน ขุดดิน เมื่อตรวจสอบดูข้อกฎหมายแล้วปรากฏว่ารักษาการเจ้าอาวาสไม่มีอำนาจอุทิศที่ดินซึ่งเป็นที่ธรณีสงฆ์ให้แก่ผู้ใดหรือหน่วยงานใดได้ถือว่าผิดกฎหมาย และได้เรียกผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาพบและพูดคุยทำความเข้าใจขอให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ กรมชลประทานยังเดินหน้าก่อสร้างเรื่อยไป จนเกิดความขัดแย้งกันในหมู่บ้านทำให้วัดได้รับความเสียหายจากการถูกละเมิด จึงได้ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่ สภ.เมืองชุมพร ถึง 2 ครั้ง แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งการก่อสร้างได้ ยังเดินหน้าสร้างต่อไป

พระมหาศุภชัย กล่าวต่อว่า อาตมาจึงตัดสินใจให้ตั้งทนายความฟ้องร้องทางแพ่งฐานละเมิดทำให้เกิดความเสียหายต่อศาลจังหวัดชุมพร โดยวัดหูรอ เป็นโจทก์ และกรมชลประทาน เป็นจำเลย ระหว่างการฟ้องร้องในชั้นศาล กรมชลประทานก็ยังคงเดินหน้าก่อสร้างอย่างต่อเนื่องแม้อาตมาจะคัดค้านก็ไม่ให้ความสนใจ จนกระทั่งก่อสร้างแล้วเสร็จและส่งมอบงานเมื่อวันที่ 3 ก.ย.57 ซึ่งปรากฏว่าชาวบ้านก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากโครงการนี้ได้เลย ที่สำคัญเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อาตมาต้องการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนจริงๆ ขณะที่ อบต.นาชะอัง ก็ไม่รับโอนโครงการดังกล่าวเพราะเห็นว่าการก่อสร้างไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง


กระทั่งต่อมา วันที่ 29 มี.ค.61 ศาลจังหวัดชุมพร มีคำพิพากษาว่าหนังสืออุทิศที่รักษาการเจ้าอาวาสอุทิศที่ดินวัดให้กรมชลประทานสร้างถังปูนพักน้ำนั้นถือเป็นโมฆะไม่มีอำนาจกระทำได้ กล่าวคือจะต้องได้รับความยินยอมจากเถรสมาคม และต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2535 จึงให้จำเลยรื้อถอนถังพักน้ำและท่อส่งน้ำออกไปจากที่ดินโจทก์และนำดินมาถมที่ดินโจทก์ให้กลับสู่สภาพเดิม ส่วนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

กรมชลประทานได้อุทธรณ์ และวันที่ 5 ก.ย.61 ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และจำเลยยื่นฎีกา ต่อมาวันที่ 11 ก.ค.62 ศาลฎีกา ได้ตรวจสำนวนประชุมแล้วเห็นว่าจำเลยไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรรับวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เพราะไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกา ยกคำร้องขออนุญาตฎีกา ไม่รับฎีกาของจำเลย และยกคำร้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา

“เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลย คือ กรมชลประทานก็ยังไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา จนเมื่อวันที่ 16 ก.ค.63 ได้ยื่นบังคับคดี จนขณะนี้จำเลยก็ยังไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาแต่อย่างใด มีแต่พาหัวหน้าส่วนราชการ ผู้หลักผู้ใหญ่เข้ามาเจรจาเกลี้ยกล่อมอาตมา 2-3 ครั้งแล้ว แต่ก็กลับเงียบหายไป จึงขอวอนถึงรัฐมนตรีและหน่วยงานเกี่ยวข้องให้มาดำเนินการตามคำพิพากษาโดยเร็วด้วย” พระมหาศุภชัย กล่าว




กำลังโหลดความคิดเห็น