โดย..ศูนย์ข่าวภาคใต้
มาถึงช่วงโค้งสุดท้ายการเลือกตั้งเวทีองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) โดยในพื้นที่ จ.ตรัง ทั้งตำแหน่ง “นายก อบจ.” และ “สมาชิก อบจ.” นั้น ลงชิงชัยกัน 3 ขั้ว โดยมีผู้นำหลักในตำแหน่งนายก อบจ. ได้แก่ผู้สมัครหมายเลข 1 “โกเล้ง-บุ่นเล้ง โล่สถาพรพิพิธ” ตามด้วยหมายเลข 2 “สาธร วงศ์หนองเตย” และหมายเลข 3 ผู้ลงสมัครอิสระในตำแหน่งนายก อบจ.เพียงตำแหน่งเดียว คือ “ทนายตุ้ม-ภูผา ทองนอก” เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่พี่น้องชาวตรัง
ศึกเลือกตั้ง ส.อบจ.ตรังกว่า 30 เขตเลือกตั้งครั้งนี้ทำให้เมืองตรังคึกคักเป็นพิเศษ หลังเป็นที่รับรู้กันมานานว่า “อบจ.ตรัง” เป็นเขตยึดครองของตระกูล ‘หลีกภัย’ โดยมี ‘ครูกิจ หลีกภัย’ พี่ชาย ‘ชวน หลีกภัย’ ประธานสภาผู้แทนราษฎร นั่งดำรงตำแหน่งนายก อบจ.ตรังผูกขาดมายาวนาน 4 สมัย กว่า 25 ปี กระทั่งสุดท้าย ‘ครูกิจ’ ประกาศวางมือ และส่งไม้ต่อให้ตระกูล ‘โล่สถาพรพิพิธ’ ตระกูลธุรกิจรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ ทำหน้าที่รับ ‘ทีมกิจปวงชน’ เดิมไปบริหารต่อ โดย ‘โกเล้ง” เป็นพี่ชายของ ‘โกหนอ-สมชาย โล่สถาพรพิพิธ’ อดีต ส.ส.ตรังเขต 3 หลายสมัย สังกัดประชาธิปัตย์ และเป็นลุงของ ‘ท่ามเฮง-สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ’ ส.ส.ตรังเขต 3 ประชาธิปัตย์ คนปัจจุบัน
นั่นหมายถึงเครือข่ายการเมืองตระกูล ‘โล่สถาพรพิพิธ’ ที่กำลังเติบโต ภายหลังภาพการเลือกตั้งใหญ่ที่สร้างผลงานรักษาแชมป์ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น และมีความพร้อมในทุกมิติ ทั้งตัวบุคล กระแส กระสุน ผลแพ้ชนะศึกเลือกตั้ง อบจ.ตรังครั้งนี้จึงเป็นเดิมพันอันยิ่งใหญ่ ภายหลังปรากฏการณ์สะท้านเมืองที่ ‘ประชาธิปัตย์’ ถูกเจาะไข่แดง ส.ส.ตรังเขต 1 ในพื้นที่เมือง ซึ่งเดิมเป็นของ ‘นพ.สุกิจ อัตโถปกรณ์’ โดยมีม้ามืดอย่าง ‘นิพันธ์ ศิริธร’ จาก ‘พรรคพลังประชารัฐ’ เป็น “แจ็กผู้ฆ่ายักษ์” ซึ่งถือเป็นสัญญาณอันตราย
แต่ทว่า “ประชาธิปัตย์ตรัง” ไม่ได้มีแต่เพียงขุมค่ายของ “นายหัวชวน” หรือ “บ้านใหญ่ถนนวิเศษกุล” เพียงศูนย์รวมเดียวเท่านั้น และนอกจากจะมี “บ้านโล่สถาพรพิพิธ” ที่ อ.ย่านตาขาวแล้ว ยังมี “บ้านวงศ์หนองเตย” ในพื้นที่ อ.ห้วยยอดของขั้ว “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” ส.ส.ประชาธิปัตย์ อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ อีกขั้วหนึ่ง
สนามเลือกตั้ง อบจ.ในครั้งนี้จึงเป็นเดิมพันอันใหญ่หลวงของ “คนกันเอง” เพื่อรักษาและขยายพื้นที่ทางการเมืองเป็นเดิมพันเพื่อ “ความอยู่รอด” ทางการเมืองในระยะยาว จึงเกิดเป็นปรากฏการณ์การแข่งขันกันเองอย่างเข้มข้น จนเป็นที่จับตาไปทั้ง “เมืองตรัง”
หนึ่งในผู้ลงชิงชัยที่สมน้ำสมเนื้อกับขั้วการเมืองตระกูล “โล่สถาพรพิพิธ” ก็คือ “สาธร วงศ์หนองเตย” หัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.อบจ. ทีม “ตรังพัฒนาเมืองตรัง” ซึ่งทั้งเปิดตัวและลงพื้นที่หาเสียงอย่างเข้มข้นในเวลานี้
ทีม “ตรังพัฒนาเมืองตรัง” นำโดย “สาธร” ได้ประกาศนโยบาย 12 ข้อ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ เพราะเป็นการ “เปลี่ยน” บทบาทการทำงานของ “อบจ.ตรัง” ในรูปแบบใหม่ อันมาจากการตีความอำนาจตาม พ.ร.บ.การกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างแท้จริงแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“สาธร” เกิดที่ตลาดห้วยยอด เป็นน้องชายของ “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” ปัจจุบันอายุ 58 ปี จบโรงเรียนห้วยยอด มัธยมปลายโรงเรียนวิเชียรมาตุ นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง การศึกษาสูงสุด ปริญญาโทสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาตร์ (นิด้า) นับเป็น บุคคลที่มีประสบการณ์ยาวนานในการรับรู้ปัญหาของเมืองตรัง และมีบทบาทสนับสนุนหลักในหน้าที่ผู้ช่วยดำเนินงาน ส.ส.ของ “ชวน หลีกภัย” ประธานรัฐสภานับแต่ปี 2529 กระทั่งการเลือกตั้งปี 2538 ส.ส. ตรังเพิ่มเป็น 4 เขต “สาธร” จึงมาทำหน้าที่ผู้ช่วยดำเนินงานให้ “ส.ส.สาทิตย์” จนถึงปัจจุบัน
“สาธร” เป็นนักกิจกรรม ทำงานภาคประชาชน นักต่อสู้ สมัยเป็นนักศึกษาเคยเป็นแชมป์โต้วาที มหาวิทยาลัยรามคำแหงปี 2526 เป็นประธานกลุ่มนักศึกษาชาวตรัง มหาวิทยาลัยรามฯ มีบทบาทเจรจากับมวลชนตลอดจนม็อบชาวบ้าน ผู้ได้รับความเดือดร้อนต่างๆ ที่เข้าประชิดทำเนียบรัฐบาลในยุคที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะกรณีในตำนานอย่างกรณีของ “ยายไฮ ขันจันทา” ผู้เรียกร้องสิทธิจากผลกระทบจากโครงการรัฐต่อที่ดินทำกินของตัวเอง
MGR Online ภาคใต้ ได้มีโอกาสจับเข่าคุยแบบถาม-ตอบแบบตรงไปตรงมากับ 2 ผู้สมัคร “สาธร วงศ์หนองเตย” และ “ภูผา ทองนอก” ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 20 ธันวาคมนี้ มีหลายแง่มุมที่น่าสนใจ
“สาธร วงศ์หนองเตย” ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.ตรัง หมายเลข 2
@ ที่มาที่ไปของการตัดสินใจลงสนามครั้งนี้คืออะไร
ในฐานะที่ผมเป็นนักกิจกรรม เป็นประธานกลุ่มตรังตั้งแต่สมัยเรียนราม กิจกรรมของ ม.ราม คือการเป็นอาสาออกค่าย เป็นที่รวมคนตรัง พวกเราเคยพูดกันว่า สักวันหนึ่งเรามีโอกาสจะกลับมาพัฒนาตรัง หลังจากนั้น ก็เป็นคนทำงานทางการเมืองตั้งแต่เป็นผู้ช่วย ส.ส.ตั้งแต่ปี 2529 จนถึงปัจจุบันก็เป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว ส.ส.ของพี่สาทิตย์ ผมมีแนวทางทางการเมืองแก้ปัญหาของชาวบ้านมาโดยตลอด โดยเฉพาะเรื่องหลักที่เราจับอยู่ก่อนหน้านี้คือ เรื่องที่ดินทำกิน ก็มีโอกาสดูสิ่งที่เป็นตรังว่า ตรังควรขับเคลื่อนด้วยวิธีคิดแล้วก็คนที่ตั้งใจจะพัฒนาเมืองน่าจะทำได้ดีกว่านี้
ผมเป็นคนวงนอกที่นั่งดูการบริหารของ อบจ.ตรัง แล้วคิดว่า 20 กว่าปีที่ผ่านมา มันขาดการประสานงาน การเชื่อมลงไปพบชาวบ้านเองทุกคนก็มองว่า ในฐานะองค์กรปกครองขนาดใหญ่ในท้องถิ่นน่าจะพากันขับเคลื่อนสู่เป้าหมายของคนที่ทำงานการเมือง คือ การอยู่ดี กินดีของชาวบ้าน การมีงานทำ การมีอาชีพ ก็คือเห็นจุดที่ขาดการนำเสนอต่อชาวบ้านต่อการตัดสินใจในการเลือกการเปลี่ยนแปลง การพัฒนาท้องถิ่นขนาดใหญ่ก็เลยตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้
@ จากที่เฝ้าดูจากมุมนอก ในห้วงเวลา 20 กว่าปี เห็นตรังเป็นอย่างไร
คิดว่าในสายตาของพวกเราเองทุกคนก็เห็นอยู่ ครั้งเราไปบ้านมดตะนอย อ.กันตัง เราเห็นชุมชนเข้มแข็ง ผมไปดูวิสาหกิจชุมชนที่ ต.บ้านโพธิ์ เขาทำอาหารหมูขาย ซึ่งผมถามว่าเคยคุยกับ อบจ.ตรังไหม เขาตอบว่าคุยกันครั้งเดียวแล้วก็เงียบไป อย่างน้อยในท้องตลาดเขากำหนดราคาหมูไม่ได้ แต่เขากำหนดราคาอาหารหมูให้ถูกลง ดังนั้น เราจะเห็นว่ามุมของจังหวัดตรัง เรามีดีเพียงแต่ขาดการบริหารจัดการ ขาดการรับฟัง จนไปสู่กำหนดให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วม
25 ปีที่ผ่านมา อบจ.ตรังทำแต่ถนน สะพาน คนตรังมีมุมมองแบบนั้น ซึ่งทุกคนอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการเลือกตั้งครั้งนี้ นั่นคือ หลักการนโยบาย 12 ข้อเพื่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งพูดได้ชัดเจนว่าต้องเป็นเมืองสุจริต เพราะ ณ วันนี้มีงบประมาณที่เป็นเงินสำรองกับเงินสะสมรวมอยู่เกือบ 3,000 ล้านบาท ผมก็นั่งคุยกับชาวบ้าน ชาวบ้านเป็นคนบอกผมว่า เราเป็นพ่อบ้าน บ้านหลังเล็กๆ มีเงินฝากธนาคาร 3 ล้าน แต่พอลูกอยากจะไปเรียนต่อ เราบอกว่าไม่มีเงิน ลูกต้องออกมาตัดยางเหอะ บางคนลูกอดข้าวบอกอยากได้กับข้าวดีๆ แต่พ่อกลับเอาเงินไปซื้อปลากระป๋อง แทนที่จะได้กินกับข้าวดีๆ แทนที่ลูกจะได้กินหมู กินปลา ได้พัฒนาตัวเอง แสดงว่าพ่อบ้านมีความภูมิใจที่เก็บเงินในธนาคาร แต่เอาดอกผลแค่ 48 ล้านมาใช้
@ เงินจำนวนมากขนาดนี้จะบริหารอย่างไรให้โปร่งใส
ฉะนั้น เงินที่กองอยู่ วันนี้คนตรังเข้าใจอยู่แล้วว่าถ้ากลุ่มการเมืองที่ไม่สุจริตด้วยอาชีพหรือจะอะไรก็แล้วแต่ จะนำไปสู่รูปแบบเดิมที่ผ่านมา 25 ปี แต่การเมืองใหม่เราประกาศการมีส่วนร่วมของประชาชน การใช้งบประมาณจากเงินสะสม เงินฝากเหล่านี้ เราจะมีเป็น “สภาเมือง” เข้ามาช่วยดูแลในเรื่องการพัฒนา
การนำเงินก้อนนี้มาใช้ไปสู่การที่ชาวบ้านตรวจสอบได้ เพราะวันนี้คนกำลังเป็นห่วง เราจึงออกสโลแกนในโค้งสุดท้ายว่า ต่อไปต้องเปลี่ยนตรัง เอาลูกหมาไปเฝ้าปลาย่าง เพราะแมวกินปลาย่างอยู่แล้วถูกต้องไหมครับ ฉะนั้นเงินก้อนนั้นก็เหมือนปลาย่าง เราจะทำให้ตรังปลอดทุจริต ผมไม่มีธุรกิจการเมือง บ้านผมครอบครัวผม หรือว่าผมไม่มีรถแบ็กโฮสักคัน เรามีอาชีพสุจริต สิ่งสำคัญที่ทำให้ชาวบ้านตระหนักว่าการเมืองของแต่ละทีมที่เข้ามาอาสารับใช้พี่น้องมันเป็นทิศทางใด ในเมื่อปลาย่างรออยู่ เราจะเลือกคนแบบไหนเข้ามา ทีมของผมชัดเจนคือการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน แล้วก็เดินตามสัญญาประชาคมที่เราประกาศนโยบายเปลี่ยนตรัง
@ ทำไมส่งผู้สมัคร ส.อบจ.แค่ 18 เขตจาก 30 เขต แล้วจะทำงานได้เต็มที่ได้อย่างไร
คือการเมืองรอบนี้ไม่ปกตินะครับผมตั้งทีมเสร็จมีคนสนใจลงสมัครในทีมผมเกือบ 30 เขต ความหมายการเมืองไม่ปกติคือ ผู้สมัครบางคนคุยกับผมเสร็จ รุ่งเช้าปิดโทรศัพท์หนีหาตัวไม่เจอ บางคนก็บอกว่าถูกเขาห้ามเอาไว้ ผมก็ไม่รู้ว่าเขาที่ห้ามคือใคร ผมก็ให้เกียรติผู้สมัครไม่ล้วงลูกว่าเขาที่ห้ามคือใคร ผมไปเจอคนกันตังอีกคนที่บอกจะสมัครกับทีมผม แกบอกว่าอายคุณสาธร ตอนแรกตั้งใจจะมาช่วยคุณสาธร เข้าใจไหมว่าการเมืองมันไม่ปกติ ผมไม่ต้องอธิบายนะเพราะพูดไปก็จะเป็นปัญหากับชีวิตผม
@ สโลแกนที่ว่าเปลี่ยนตรังให้ดังกว่าเดิม คืออะไร
การเปลี่ยนแปลงให้ดังกว่าเดิม ตั้งแต่การพัฒนาเมืองไปจนถึงการเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองในจังหวัดตรัง เพราะผมคิดว่าระยะเวลา 25 ปี ตั้งแต่เป็น อบจ.มา เราไม่เห็นตัวผู้สมัครนายก อบจ.ทำการเมืองแบบมีส่วนร่วมของประชาชน ฉะนั้นการเปลี่ยนตรังครั้งนี้ นอกจากจะเปลี่ยนตรังให้ดังกว่าเดิมแล้ว
ต้องไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมือง โครงสร้างทางการเมืองที่ผ่านมามันเป็นโครงสร้างการเมืองผ่านตัวแทน แต่สำหรับผมคือ Change คือเปลี่ยน ไม่เหมือนเดิม การพบกับประชาชนโดยตรง รับฟังความคิดเห็นทีมผมเป็นทีมสุจริต ไม่ได้ทำธุรกิจการเมือง ฉะนั้นการเปลี่ยนหมดทุกอย่างในทางโครงสร้างการเมืองของตรังที่นำไปสู่การเมืองของประชาชน เสียงของคนตรังทุกคนต้องดังเท่ากัน
@ การเลือกตั้งกับสังคมไทย เป็นค่านิยมไปแล้วว่าสุดท้ายแพ้ชนะกันที่ธนบัตรมากกว่า
นี่เป็นเรื่องน่าเป็นห่วง สำหรับผมในมุมมองที่ทำกิจกรรมการเมืองมาตลอด ทุกครั้งก็หวั่นไหวปัจจัยการเงิน ซึ่งก็น่ากลัวนะครับ ถ้าจำนวนเท่านี้ไม่เอาเขาจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นๆ แต่ตลอดระยะเวลาที่ผมทำงานการเมืองมา สุดท้ายแล้วหัวจิตหัวใจของคนตรัง เงินไม่เป็นปัจจัยสำคัญ คนจำนวนมากมองถึงอนาคตของลูกหลาน มองถึงปัญหาประเทศ มองถึงปัญหาจังหวัดมากกว่าปัจจัยทางการเงิน เพราะหนึ่งเสียงของทุกคนกำหนดอนาคตตรังได้
@ การทำงานของ อบจ.ตรังจะมีส่วนเรื่องแก้ปัญหาปากท้องของคนตรังอย่างไร
วันนี้ ตรังเรามีของดี มีทรัพยากรที่ดีมากมาย เช่น ต.นาหมื่นศรี ยังคงอนุรักษ์พื้นที่ทำนาปลูกข้าว มีวิวหลักล้าน ก็มีร้านค้าผุดขึ้นมา แต่โดยขาดการบริหารจัดการ ภาพองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผมไปนั่งฟังสภาองค์กรชุมชนบอกว่าเมืองตรัง ของกินดีอาหารดีเมืองตรัง ต่อไปว่าอะไรคือของดีเมืองตรัง อาหารทะเลอาหารแปรรูป ผมไป อ.กันตัง เขาทำกะปิใส่กุ้งเคย เกลือ น้ำตาล ไม่มีอะไรเจือปน เรามีวัตถุดิบอาหารทะเล มีจ๊ะที่มาจาก อ.หาดสำราญ บอกว่าของดีเมืองตรังที่มากกว่าขนมเค้ก หมูย่าง ที่ผ่านมา อบจ.ไม่ได้สนับสนุนและส่งเสริมจัดการ ตรังมีดีมากกว่าสิ่งที่เห็น ตรังเที่ยวได้ทั้งปี ทั้งหน้าฝน หน้าไฮซีซัน เพราะตรังมีตั้งแต่ทะเล ภูเขา ทุ่งนา ศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์เมืองเก่า มีวิถีชีวิต แต่ อบจ.ต้องเข้ามาช่วยบริหารจัดการ แล้วรับฟังผู้ประกอบการ เป็นตัวเชื่อม เพราะอานิสงส์ คือ ปากท้อง รายได้ อาชีพของคนตรัง
เราต้องเลือกที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนภายใต้การจัดสรรทรัพยากรอย่างสมดุล แน่นอนคนนี้จะได้มาก คนนี้จะไม่ได้ คนนี้จะสูญเสีย แต่หน้าที่ของรัฐ หรือ อปท.ขนาดใหญ่ต้องไปดูว่า ในฐานะที่คุณเสียสละเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสมดุลของจังหวัดตรัง และในมุมมองของ อบจ.จะชดเชยในสิ่งที่เขาเสียประโยชน์ได้อย่างไร มันต้องจัดสรรทรัพยากรอย่างสมดุล แล้วดูแลคนที่เสียประโยชน์ เช่น เรามีท่าเรือชาวบ้านตั้งแต่ แหลมขาม แหลมไทร ไปยังสุดท้ายถึงตะเสะ และท่าข้าม ฉะนั้น 1.ท่าเรือของชาวบ้านเพื่อให้เกิดต่อประโยชน์ความเป็นอยู่ วิถีชีวิตประจำวัน กับเพื่อสร้างรายได้จากอาชีพ การหาปูหาปลา ไปจนถึงท่าเรือขนาดใหญ่ของ อบจ.ที่ทำไว้ แต่ก็หยุดนิ่งคือ ท่าเรือคลองสน และท่าเรือนาเกลือ เราจะเชิญมืออาชีพเข้ามาช่วย แนวคิดการพัฒนาท่าเรือ พัฒนาระบบโลจิสติกส์ เราต้องกลับมาฟื้นฟูตรังเป็นเมืองยางพารา ถ้าโลจิสติกส์ดี ทำท่าเรือนาเกลือให้มีความเคลื่อนไหวขึ้นมา ต้นทุนของโลจิสติกส์จะลดลงกิโลกรัมละ 3 บาท ชาวสวนก็จะได้ประโยชน์ ค่าขนส่งถูกลง การรับซื้อน้ำยางก็ราคาสูงกว่าราคาจังหวัดอื่น
@ เรื่องไหนสำคัญเป็นพิเศษที่ตั้งใจจะเข้าไปทำงาน
ทุกเรื่องสำคัญหมด เพียงแต่ต้องจัดลำดับในการทำงาน เพราะ 25 ปี ที่ผ่านมา ตรังมีเนื้อที่ประมาณ 3 ล้านไร่ ปลูกยางเกินครึ่งหนึ่ง คือ 1.6 ล้านไร่ และมีปลูกในพื้นที่ทับซ้อน ที่ดินรัฐไม่มีเอกสารสิทธิอีกจำนวนหนึ่งซึ่งขึ้นทะเบียนไม่ได้ เส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงคนตรังคือ ยางพารา ยางพารามีต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ วันนี้เราไปดูที่ปลายน้ำ เราเห็นว่าในพื้นที่มีการรวมกลุ่มแล้วทำผลิตภัณฑ์ออกมา คนที่เป็นสมาชิกขายน้ำยางได้ราคาสูงกว่าราคาตลาดถึงกิโลกรัมละ 2 บาท ฉะนั้น อบจ.ต้องเป็นหน่วยงานที่นำร่อง ใช้ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำของยางพารา เช่น 1.การทำถนนเพื่อกระตุ้นการใช้น้ำยาง 2.หลักนำทางหรือหลักทางโค้งถนน เปลี่ยนจากปูนซีเมนต์เป็นยางพารา 3.หมอนหรือที่นอน บทบาทของ อบจ.ต้องกระตุ้นการใช้ปลายน้ำของยางพาราให้สูงขึ้น แล้วร่วมพัฒนาต้นทาง ให้ชาวสวนยางมีน้ำยางที่มีเปอร์เซ็นต์ดี ตามที่ปลายทางต้องการ กลางน้ำ เช่น ไม้ยางพารา โรงเลื่อย เราต้องพัฒนาทักษะของคนในอาชีพนี้ เกินครึ่งหนึ่งของเมืองตรังคือยางพารา เรื่องนี้จึงเป็นนโยบายสำคัญของทีม
“สุดท้ายผมต้องฝากบอกให้คนออกมาเปลี่ยนตรัง วันที่ 20 ธ.ค.นี้ จินตนาการตรังว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมคิดว่าในร้านโกปี๊คงจะได้ยินว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องเปลี่ยน ให้ลูกหมาไปเฝ้าปลาย่าง เพราะมันคือเสียงสะท้อนของประชาชนที่บอกพวกผม ไม่ใช่ผมเขียนมาเพื่อให้ชาวบ้านคิดตามผม แต่ทุกอย่างมาจากชาวบ้านที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องเงินหรือเรื่องอะไรก็ตาม แต่ถ้ามีการกระตุ้นจนไปสู่การเปลี่ยนแปลงจากการเมืองแบบเดิมๆ วันนี้ผมไม่ได้มาเปลี่ยนแปลงให้ดังกว่าเดิมเฉยๆ
แต่ผมจะเปลี่ยนโครงสร้างการเมืองตรัง”
“ภูผา ทองนอก” ผู้สมัครนายก อบจ.ตรัง หมายเลข 3
“ภูผา” เป็นทนายความหนุ่มชาวย่านตาขาว ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทำงานภาคประชาชนมาโดยตลอด โดยเฉพาะการให้คำปรึกษาและความช่วยเหลือแก่ชาวบ้านในเรื่องข้อกฎหมาย เป็นอดีตผู้ประสานงาน “พรรคอนาคตใหม่” ที่เคยฝากผลงานในฐานะพาผู้สมัครในนามพรรคอนาคตใหม่ ตรัง ได้เป็น ส.ส. 1 ที่นั่งในระบบบัญชีรายชื่อ และหลังจากนั้นเมื่อ “พรรคอนาคตใหม่” ถูกยุบเขาได้ออกตัวว่าไม่ได้ทำกิจกรรมร่วมกับ “คณะก้าวหน้า” รวมทั้ง “พรรคก้าวไกล” อีกเลย จนมาถึงสนามเลือกตั้ง อบจ.ในครั้งนี้ ที่เขาตัดสินใจลงแข่งขันด้วยตัวเองแบบเต็มตัว
@ วางแผนหรือว่าตัดสินใจไว้นานแค่ไหนก่อนลงสนามครั้งนี้
เราเห็นการเมืองที่ผ่านมาของจังหวัดตรัง ยังพัฒนาจังหวัดตรังเราไม่ได้เต็มศักยภาพ สิ่งที่เราตัดสินใจลงสมัครในครั้งนี้เป้าหมายหลักก็คือ ต้องการสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองรูปแบบใหม่ ให้ทุกๆ คนมีสิทธิ มีพื้นที่ และเปิดโอกาสให้แก่ทุกๆ คนที่มีความรู้ความสามารถในการเสนอตัวเข้ามาเป็นตัวแทนของประชาชนทุกระดับ ตั้งแต่ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต. นายกเทศมนตรี นายก อบจ. และ ส.ส.ก็ตาม เราจะเห็นว่าเรื่องของการเมืองในสังคมไทยของสังคมที่ผ่านมา โดยเฉพาะท้องถิ่นมักจะถูกผูกขาดอยู่กับกลุ่มทุนในจังหวัดเป็นหลัก แล้วก็ผูกขาดโดยกลุ่มตระกูลของนักการเมืองที่มีความสัมพันธ์ทางการเมืองเป็นหลัก ส่วนคนที่ไม่มีทุน ไม่มีสายสัมพันธ์กับนักการเมือง หรือตระกูลนักการเมืองเราจะเห็นว่าจะมีน้อยมากที่จะเข้ามาเสนอตัวทำงานการเมือง
วัฒนธรรมทางการเมืองโดยเฉพาะการหาเสียงต้องใช้เงินจำนวนมาก แม้แต่อุปกรณ์การเลือกตั้ง รถแห่ ป้ายโปสเตอร์ การใช้คนเป็นผู้ช่วยผู้สมัคร ผู้ช่วยผู้หาเสียง ต้องใช้เงิน ขั้นต่ำแล้วถึง 2 ล้านบาท เหล่านี้มันจะผูกขาดอยู่เฉพาะกลุ่มคนที่มีฐานะทางสังคม กลุ่มคนรวย ลูกตาสีตาสาคนรับจ้าง คนที่มีความรู้ความสามารถหากไม่มีทุนก็ไม่มีทาง
@ นโยบายที่ทำได้จริงของกลุ่ม “ตรังก้าวหน้า” คืออะไร
นโยบายนั้นเราได้ประกาศไปแล้ว แต่หัวใจคือเรามองเห็นสภาพปัญหาของจังหวัดตรังใน 25 ปีที่ผ่านมา คือการกินรวบ ส.จ. ผมขอยกตัวอย่างตรัง มี ส.จ. 30 เขต ที่ผ่านมาเป็นทีมไหน ทั้งหมดล้วนสังกัดทีมผู้บริหารแค่ทีมๆ เดียว ฉะนั้น ส.จ.ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจสอบถ่วงดุลตั้งกระทู้ถามปัญหา นำปัญหาของชาวบ้านในพื้นที่มา บรรจุแผนงบประมาณ แผนการพัฒนา ถ้าเขาไม่ถูกแยกออกเป็นอิสระในการทำหน้าที่ของฝ่ายสภาได้ เขาจะไปถ่วงดุลตรวจสอบหรือไปสร้างสรรค์โครงการใดๆ ได้
@ แต่คนเข้าใจว่า ส.จ.กับฝ่ายบริหารคือทีมเดียวกันมาตลอด
คือความเข้าใจผิดอย่างมาก เพราะถ้า ส.จ.ลงสมัครทีมแบบทีมเดียวกับทีมบริหารแล้ว ตรงนี้คือการกินรวบ ที่ผ่านมา เราเข้าใจผิดกันมาตลอดว่า มาสมัครเป็นทีมได้ แต่จริงๆ จะมาเป็นทีมได้ แต่การเป็นทีมก็คือทีม ส.จ. ไม่มีผู้บริหารอยู่ด้วย ส.จ. 30 คนคือหนึ่งทีม และผู้บริหารอีกหนึ่งทีม ไม่ใช่เอาทีม ส.จ.มาอยู่ทีมเดียวกับผู้บริหาร มันต้องแยกออกจากกัน เพื่อให้เกิดการตรวจสอบถ่วงดุล ถ้าตรังเรายังยุติสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เหมือนเป็นประตูบานแรก ถ้าเราเปิดไม่ได้ โอกาสจะไปคิดทำหรือพัฒนาด้านอื่นจะยากมาก วันนี้มันเป็นการรวมกันเพื่อเอาชนะการเลือกตั้ง เป็นการเมืองแบบเก่าที่ใช้ ส.จ.เป็นหัวคะแนน
วันนี้ ถ้าผมในนามของ “ตรังก้าวใหม่” ได้เข้าไป เราต้องล้างระบบเส้นสายเพื่อให้มีความเท่าเทียมกัน และสร้างความเชื่อมั่นทางการเมือง ต้องโปร่งใสเป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย อบจ.ต้องกลับคืนมาเป็นของประชาชน การลงพื้นที่หาเสียงของเรา เราทำการเมืองแบบมีทุนน้อยมากๆ ไม่มีการจัดเวทีปราศรัย เราทำการเมืองแบบแนวร่วม การเมืองแบบนี้เป็นการเมืองของทุกคน ต่างจากการทำการเมืองแบบหัวคะแนนที่ต้องมีเงินอย่างน้อย 20 ล้าน วัฒนธรรมการเมืองใหม่ คือ ต้องลดต้นทุน อย่าให้ผูกขาดอยู่เฉพาะกลุ่มทุน การเมืองแบบมีหัวคะแนนต่อไปจะเป็นการเมืองล้าหลัง ผมไม่ได้มีธุรกิจ ผมไม่มีเครือข่ายใดๆ เป็นลูกคนธรรมดา เป็นแค่ทนายความเล็กๆ อยู่ในจังหวัดตรัง ต่อไปในอนาคตผมจะสร้างวัฒนธรรมให้ใครๆ ก็ลงสมัครได้