ยะลา - แม่เด็กสาวเหยื่อรถชนร้องสื่อขอความเป็นธรรม หลังลูกสาวประสบอุบัติเหตุจนกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง แถมคู่กรณีไม่เคยคิดจะเหลียวแลตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
วันนี้ (14 ธ.ค.) นางสุพัตรา มนต์แก้ว อายุ 47 ปี เจ้าของร้านตัดเย็บเสื้อผ้าใน อ.เมืองยะลา จ.ยะลา ได้ร้องขอความเป็นธรรมผ่านสื่อมวลชน หลังจากที่ลูกสาวคนเล็กของครอบครัวประสบอุบัติเหตุเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา จนทุกวันนี้กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ผ่านการผ่าตัดสมองมากกว่า 10 ครั้ง แต่ยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ต้องจ้างพยาบาลวิชาชีพมาดูแลเดือนละกว่า 20,000 บาท ขณะที่คู่กรณีที่ประสบเหตุก็ไม่เคยติดต่อมาดูแล หรือสอบถามสารทุกข์ตั้งแต่เกิดเหตุ
โดยผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังร้านตัดเย็บเสื้อผ้าพี่สุ ในเขตเทศบาลนครยะลา และได้พบกับ นางสุพัตรา มนต์แก้ว อายุ 47 ปี เจ้าของร้าน และเป็นมารดาของ น.ส.รับพร ธรรมฤกษ์ฤทธิ์ อายุปัจจุบัน 16 ปี ซึ่ง นางสุพัตรา มนต์แก้ว ผู้เป็นแม่ กล่าวว่า ลูกสาวได้ประสบอุบัติเหตุเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2560 ขณะที่ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์พร้อมเพื่อนอีก 2 คน เพื่อไปซ้อมบาสเกตายบอล
เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุ ถนนหน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ได้มีรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบียน กข 9747 ยะลา ซึ่งขับสวนทางมาได้ชนประสานงากับรถจักรยานยนต์ที่ลูกสาวได้ซ้อนท้าย ทำให้ทั้งผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และลูกสาวของตนเองได้รับบาดเจ็บ แต่ น.ส.รับพร ธรรมฤกษ์ฤทธิ์ หรือ “น้องน้ำขิง” ซึ่งในขณะนั้นได้เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เทอม 2 โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในจังหวัดยะลา บาดเจ็บสาหัส จนต้องเข้ารักษาตัวเร่งด่วนที่โรงพยาบาลยะลา และพบว่ามีอาการกระทบกระเทือนที่สมอง ทำให้ต้องทำการผ่าตัดถึง 10 ครั้งด้วยกัน
นางสุพัตรา มนต์แก้ว ผู้เป็นแม่ กล่าวว่า หลังจากผ่าตัดได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลยะลาเป็นเวลา 5 เดือนกว่า จากนั้นจึงได้ออกมารักษาตัวต่อที่บ้านโดยตลอดเป็นระยะเวลากว่า 3 ปี โดยต้องจ้างพยาบาลพิเศษมาดูแล เนื่องจากตนเองต้องประกอบอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้า เพื่อหาเงินมารักษาดูแลลูกสาวที่ประสบเหตุ ซึ่งต้องจ่ายค่าจ้างพยาบาลอีกเดือนละ 2 หมื่นกว่าบาท ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอย่างอื่นสำหรับผู้ป่วยติดเตียง และที่ผ่านมานั้นตนเองดูแลลูกมาโดยตลอด จึงไม่มีเวลาในการเดินเรื่องคดีความ
ซึ่งภายหลังเกิดเหตุนั้น ทาง ร.ต.อ.พงษ์ศักดิ์ พรหมเกตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รับแจ้งเหตุและทำสำนวนคดี ได้ยื่นเอกสารต่างๆ ไปยังศาล เพื่อทำตามขั้นตอนของคดีความ ซึ่งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์นั้นได้ชนะคดีความ แต่กลับมาแพ้คดีความในชั้นศาลฎีกา ซึ่งระบุว่า ผู้เป็นจำเลยไม่มีความผิด และหลักฐานพยานอ่อนเกินไป ทำให้คดีความดังกล่าวนั้นถูกยกฟ้อง ซึ่งตนเองมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งที่เหตุที่เกิดขึ้นนั้นฝ่ายของจำเลยที่ขับรถยนต์ได้ประมาท จนทำให้เกิดอุบัติเหตุ
นอกจากนี้ แม้ว่าที่เกิดเหตุจะมีกล้องวงจรปิดแต่ก็ไม่สามารถใช้การได้ ทำให้ไม่มีพยานหลักฐานพอที่จะเอาความอีก แต่ต่อมาหลังจากเกิดเหตุ 1 ปี ตนเองได้พบกับพยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุ และพยานเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนถึงขณะเกิดเหตุและได้ลงไปช่วยผู้บาดเจ็บทั้ง 3 ราย ซึ่งตนเองก็ไม่มีความรู้ทางด้านกฎหมาย แต่อยากได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากที่ผ่านมานั้น จำเลยที่เป็นคู่กรณีไม่มีแม้แต่จะติดต่อหรือมาเยี่ยมลูกสาวของตนเองที่ได้รับบาดเจ็บ จนเป็นผู้ป่วยติดเตียงมาจนถึงทุกวันนี้ จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือมีอำนาจหน้าที่พอจะให้ความเป็นธรรมด้านกฎหมายกับประชาชน ได้เข้ามาช่วยเหลือให้ความเป็นธรรมกับลูกสาวของตนเองและครอบครัว
นางสุพัตรา มนต์แก้ว แม่ของน้องน้ำขิงที่ประสบเหตุ ยังบอกอีกว่า หลังจากที่เกิดเหตุแล้ว ทางครอบครัวได้รับความช่วยเหลือเพียงแค่ พ.ร.บ.กลางคุ้มครองผู้ประสบอุบัติเหตุเป็นจำวนเงิน 270,000 บาท และสำนักงานยุติธรรมอีกจำนวน 50,000 บาทเท่านั้น แต่ผู้ที่เป็นคู่กรณีกลับนิ่งเฉย และไม่เคยเหลียวแลเลยสักครั้งตั้งแต่เกิดเหตุมา ซึ่งตนเองก็ต้องมีภาระเพิ่มขึ้นที่จะต้องทำงานเพียงคนเดียวในการหาเงินมาดูแลลูกสาวที่ป่วยจนหมดอนาคต และที่ผ่านมาพยายามจะหาหนทางในการเรียกร้องความเป็นธรรมให้แม่ลูกสาว แต่เนื่องด้วยไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกฎหมาย และเกรงว่าครอบครัวจะได้รับอันตราย จึงไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งพาผู้ใดหรือหน่วยงานใด