xs
xsm
sm
md
lg

“บีอาร์เอ็น” ยุคหลังบันได 7 ขั้น ส่งแนวร่วมยืมมือ “ม็อบราษฎร” จับตาสร้างสถานการณ์ให้เกิดจุดแตกหัก!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จุดคบไฟใต้ โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก




ภายหลัง “ขบวนการบีอาร์เอ็น (BRN)” เปลี่ยนการต่อสู้ทั้ง ‘ยุทธศาสตร์’ และ ‘ยุทธวิธี’ แบบไม่ใช้ความรุนแรงที่ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนตามที่พี่เลี้ยง “เจนีวาคอลล์” แนะนำให้ทำ ‘สงครามสันติภาพ’ โดยใช้เวที “ยูเอ็น” ต่อสู้กับ “รัฐไทย” เพื่อให้ได้มาซึ่ง ‘การปกครองตนเอง’ หรือ ‘การแบ่งแยกดินแดน’ อีกทั้งยังมี “คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ” หรือ (ICRC) เข้าไปปักหลักใน จ.ปัตตานี เพื่อรอ ‘เงื่อนไข’ ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยในนามตัวแทนยูเอ็น เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการการลง ‘ประชามติ’ ตามแผนที่จัดเตรียมไว้นั้น

จึงอย่าแปลกใจที่ “ไอซีอาร์ซี” ไม่ยินยอมย้ายสำนักงานพ้นจังหวัดชายแดนภาคใต้กลับเข้ากรุงเทพฯ เพราะยังต้องการปฏิบัติการรวบรวมข้อมูลและให้ความรู้คนในพื้นที่ในเรื่อง ‘กฎบัตรสหประชาชาติ’ รวมถึงกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะองค์ความรู้เกี่ยวกับ ‘กระบวนการสันติภาพ’ ที่เป็นเป้าหมายหลักในการ ‘จัดการ’ กับปัญหาไฟใต้

ดังนั้น “หน่วยงานความมั่นคง” และ “เครือข่ายคนไทยพุทธ” ในพื้นที่จึงอย่างเพิ่งดีใจที่สถานการณ์ความรุนแรงลดน้อยลง และอย่างเพิ่งด่วนสรุปว่าการที่การก่อเหตุของ “แนวร่วม” ขบวนการก็ลดน้อยลงไปด้วย

วันนี้ความคิด “ผู้นำบางคน” ของหน่วยงานความมั่นคงยังหลงอยู่ในวังวนเดิมๆ คือหยิบเอา ‘แผนบันได 7 ขั้น’ ของบีอาร์เอ็นที่ยึดได้จากบ้านพัก “มะแซ อุเซ็ง” อดีตผู้นำขบวนการเมื่อกว่า 10 ปีก่อนมาใช้เป็นเหมือน ‘แผนแม่บท’ ให้ความรู้ให้แก่กำลังพลใช้ต่อสู้ ซึ่งนับว่า ‘ล้าหลัง’ และเข้าไม่ถึง ‘งานการข่าว’ ของฝ่ายตรงข้าม

วันนี้บีอาร์เอ็นโละทิ้งแผนบันได 7 ขั้นไปหลายปีแล้ว เพราะเห็นความล้มเหลวในสงคราม 1,000 วัน และรับรู้ว่าหน่วยงานความมั่นคงทราบรายละเอียดหมดแล้ว ซึ่งพิสูจน์ได้จากมีการ ‘สลายโครงสร้าง’ ในพื้นที่ไปหมดแล้วตั้งแต่ 2 ปีก่อน

แม้แต่การ ‘ทำสงครามแย่งชิงมวลชน’ ที่รัฐไทยยังเปิดปฏิบัติการในรูปแบบต่างๆ ผ่านผู้นำศาสนา กลุ่มและองค์กรต่างๆ ซึ่งโดยข้อเท็จจริงก็ได้ล้าสมัยไปตั้งแต่ก่อนปี 2547 ด้วยซ้ำ

วิธีการที่บีอาร์เอ็นใช้ตลอดเกือบ 17 ปียุคไฟใต้ระลอกใหม่เป็นการ ‘ทำสงครามกองโจร’ ที่ใช้อิทธิพลควบคุมมวลชนที่ไม่ใช่สมาชิกหรือแนวร่วม เพื่อไม่ให้เข้าไปอยู่กับฝ่ายรัฐด้วยการคุกคาม ข่มขู่และฆ่า ส่วนหนึ่งจึงเป็น ‘แนวร่วมจำยอม’ เพราะยังต้องอยู่ในพื้นที่

วันนี้ยุทธศาสตร์บีอาร์เอ็นไม่ได้อยู่ที่ “มวลชนปาตานี” อย่างในอดีต แต่ให้ความสำคัญกับ “เยาวชน” เป็นอันดับหนึ่ง และนี่ถือเป็น ‘โครงสร้างใหม่’ ของการต่อสู้หลังแผนบันได 7 ขั้นล้มเหลว

วันนี้บีอาร์เอ็นยังคงทำตัวเป็น “องค์กรลับ” และเป็น “แนวร่วมแห่งชาติมลายูปาตานี” ซึ่งคำว่า “แนวร่วม” มีความหมายที่สำคัญถึงการ ‘เกาะเกี่ยว’ และ ‘เกาะกุม’ กลุ่มเป้าหมายต่างๆ ในสังคมเพื่อไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จ นั่นหมายถึงบีอาร์เอ็นจะไม่ต่อสู้อย่าง ‘โดดเดี่ยว’

แม้แต่หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ก็เป็น ‘แนวร่วมมุมกลับ’ ของบีอาร์เอ็น เพราะได้สร้างเงื่อนไขตั้งแต่การใช้ความรุนแรงไปจนถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนไว้ประจักษ์ชัด

อีกทั้งในความเคลื่อนไหวของ “รัฐส่วนกลาง” ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ก็จัดว่าเป็นแนวร่วมบีอาร์เอ็นด้วย ดูได้จากหลายองค์กรภาคประชาสังคมปีกการเมืองของขบวนการทั้ง 4 เขตงานในชายแดนใต้ ต่างได้เข้าไปมีส่วน ‘ยึดโยง’ กับการเคลื่อนไหวภาครัฐส่วนกลางอย่างคึกคักและต่อเนื่อง

โดยเฉพาะในส่วนของทั้งกลุ่มวางแผน สั่งการและรักษาความปลอดภัยในสถานศึกษาต่างๆ ที่มีเยาวชนออกมาเคลื่อนไหว มีแนวร่วมบีอาร์เอ็นแทรกตัวอยู่จำนวนหนึ่งในเกือบทุกแห่ง แม้แต่ในกลุ่มองค์กรลับของ “มุสลิมอุยกูร์” และ “มุสลิมโรฮิงยา” ก็ไม่เว้น

เป็นเรื่องที่น่าวิตกกังวลยิ่งเมื่อบีอาร์เอ็นใช้ ‘แนวร่วม’ เพื่อแทรกเข้าไปในองค์กรต่างๆ โดยเฉพาะกับกลุ่มนักศึกษาและเยาวชนที่ออกมาขับเคลื่อนจักระเบียบโครงสร้างอำนาจรัฐใหม่ในขณะนี้ เพราะสิ่งที่นำไปพูดในทุกเวทีล้วนเป็นเรื่องราวเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงโดยตรงกับ “วิกฤตไฟใต้”

ไม่ว่าความเหลื่อมล้ำ การบังคับใช้กฎหมายพิเศษ การละเมิดสิทธิมนุษยชน เหล่านี้คือเรื่องที่แนวร่วมปีกการเมืองบีอาร์เอ็นได้ต่อสู้เรียกร้องมานานแล้ว ดังนั้น ความเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วประเทศในขณะนี้จึงถือเป็น ‘แนวร่วม’ ของบีอาร์เอ็นไปด้วย

และเมื่อใดที่กลุ่มนักเรียน นักศึกษาและประชาชนจากชายแดนใต้ได้ไปปรากฏตัวชัดเจนบนเวทีต่างๆ ทั่วประเทศ นั่นหมายความว่ากลุ่มภาคประชาสังคมใต้ปีกโอบบีอาร์เอ็นได้ทวีความเข้มแข็งขึ้น

ดังนั้น เวทีขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พ้นนายกรัฐมนตรี ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ รวมถึงปฏิรูปสถาบันก็ดี ล้วนได้กลายเป็นแนวร่วมและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ชายแดนใต้ได้อย่างน่าวิตกกังวลยิ่งนัก

มีสิ่งที่น่าห่วงยิ่ง ณ เวลานี้คือ ถ้าวันหนึ่งบีอาร์เอ็นต้องการสร้างสถานการณ์ให้เกิดการ ‘แตกหัก’ ระหว่างรัฐกับกลุ่มที่กำลังชุมนุมอยู่ด้วยวิธี “ก่อการร้าย” โดยเป้าหมายอยู่ที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีศักยภาพทำได้ แล้วจะเกิดอะไรก็ตาม

ถ้าสังเกตจะพบว่านับตั้งแต่ปี 2560 หลังจากที่ “เจนีวาคอลล์” สนับสนุนบีอาร์เอ็นทำ ‘สงครามสันติภาพ’ แทน ‘สงครามก่อการร้าย’ และมี “ไอซีอาร์ซี” เข้าไปปักหลักที่ จ.ปัตตานีรอ ‘เงื่อนไขยกระดับ’ นับว่า “บริบทไฟใต้” เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ส่วนจะเปลี่ยนไปอย่างไร และมีแผนจัดตั้งเด็กเยาวชนเป็นแนวร่วมปฏิวัติเป็นอย่างไร จะได้นำมาอรรถาธิบายให้ผู้สนใจได้รับทราบในครั้งหน้า

เพราะ ณ วันนี้ต้องให้กำลังใจ “พล.ท.เกรียงไกร ศรีรักษ์” แม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่ที่กำลังนำกำลังพลลงช่วยผู้ประสบอุทกภัยทั่วภาคใต้ ซึ่งเป็น ‘งานการเมือง” ที่ได้ใจผู้คนและทำให้ได้มวลชนบนแผ่นดินไฟใต้ด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น