จุดคบไฟใต้ โดย ไชยยงค์ มณีพิลึก
สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในห้วงสัปดาห์นี้มีประเด็นที่น่าสนใจ 3 เรื่องด้วยกัน
ประเด็นแรก เรื่องที่ นายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ส.ส.ยะลา เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่า ให้ช่วยประสาน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ปลดรูปของตนเองบนป้ายประกาศว่าเป็นบุคคลที่มีหมายจับ ป.วิอาญา เนื่องจากศาลได้พิพากษายกฟ้องแล้ว
การร้องเรียนของ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ จ.ยะลา เขต 1 ครั้งนี้ได้ผล เพราะ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยุคที่มีผู้อำนวยการชื่อ พล.ท.เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้มีคำสั่งให้ปลดป้ายดังกล่าวทุกจุดตรวจจุดสกัด
เพราะโดยข้อเท็จจริง รูปภาพของ "แนวร่วม" หรือ "โจรใต้" ที่ติดไว้ตามจุดตรวจจุดสกัดนั้น นอกจากได้ผลในทาง "ประจาน" ให้สาธารณชนทั่วไปได้รับรู้ว่า นี่คือ "แนวร่วม" หรือ "โจรใต้" แต่ในเรื่องอื่นๆ เช่น ติดรูปแล้ว จับโจรได้ หรือคนที่พบเห็นแจ้งเบาะแสให้เจ้าหน้าที่ไปจับกุม เกือบจะไม่มีเลย
เอาเข้าจริง ขนาด "แนวร่วม" หรือ "โจรใต้" ในรูปภาพขับรถผ่านจุดตรวจ เจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจจุดสกัดยังจำไม่ได้ว่าเป็น "แนวร่วม" ในป้าย เพราะภาพถ่ายที่นำทำป้ายกับตัวเป็นๆ ในปัจจุบันไม่เหมือนกัน!
ดังนั้น เมื่อรูปในป้ายไม่มีผลในการจับกุมก็ควรจะเลิกติดป้ายประจาน แล้วใช้วิธีการอื่น ที่มีอีกหลายรูปแบบ ส่วนเลิกป้ายแล้วจะได้ใจโจร หรือได้ใจชาวบ้านหรือไม่ ก็ค่อยว่ากันอีกที อย่างน้อยก็ประหยัดงบประมาณในการทำป้ายไปได้จำนวนหนึ่ง
ประเด็นที่ 2 คือ เรื่องที่ พล.ท.เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ออกมาขู่ผู้สมัครในตำแหน่งนายก อบจ. และ ส.อบจ.ทั้งหลายที่กำลัง "ห้ำหั่น" กันอย่างถึงพริกถึงขิงในการประลองกำลังเพื่อก้าวสู่ตำแหน่ง ซึ่งแม้ว่าวันนี้จะยังไม่ได้ยินเสียงปืน แต่ฤดูกาลเลือกตั้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็มักจะเต็มไปด้วยอาวุธปืน บางจังหวัดในวันแรกที่มีการสมัครรับเลือกตั้ง ถ้าตำรวจไปปิดล้อมสถานที่รับสมัคร เชื่อว่าจะจับอาวุธปืนได้เกือบ 100 กระบอก
ดังนั้น เพื่อมิให้การหาเสียงเลือกนายก อบจ. และ ส.อบจ.กลายเป็นการใช้ความรุนแรง เพื่อผสมโรงกับขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือเพื่อมิให้ผู้สมัครที่มีพลพรรคเป็นคนในขบวนการแบ่งแยกดินแดนออกมาใช้ความรุนแรงเพื่อเก็บ "หัวคะแนน" หรือ "คู่ต่อสู้" กอ.รมน.จึงต้องออกมา “ขู่” ไว้ก่อน แต่เรื่องนี้ขู่อย่างเดียวไม่พอ แต่ กอ.รมน. ตำรวจ และฝ่ายปกครองต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังในการรักษาความสงบในห้วงของการเลือกตั้ง รวมไปถึงหลังการเลือกตั้งด้วย เพราะอาจจะมีรายการ "เช็กบิล" กันอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนประเด็นที่ 3 คือ เรื่องของ "ภัยแทรกซ้อน" ที่สังเกตได้ว่า แนวชายแดนไทย-มาเลเซียในหลายพื้นที่ เช่นที่ จ.นราธิวาส ใน อ.สุไหงโก-ลก ตากใบ และแว้ง และที่ จ.สงขลา ใน อ.สะเดา นาทวี สะบ้าย้อย แม้ว่าทหาร และ ตชด.จะเข้มงวดในเรื่องของการลักลอบข้ามพรมแดน แต่ก็ยังพบว่ามีขบวนการขนสินค้าเถื่อนและยาเสพติดข้ามแดน โดยเฉพาะในแนวชายแดน จ.นราธิวาส ที่คึกคัก ขนกันได้อย่างเอิกเกริก ทั้งทางช่องทางธรรมชาติและช่องทางปกติ โดยอาศัยการจ่ายภาษี ”ปากระวาง” แบบแบ่งปันรายได้กันระหว่าง
เจ้าหน้าที่แต่ละหน่วย
และไม่รู้ว่าจะเป็นที่น่าตกใจ หรือควรดีใจแทนคน อ.สุไหงโก-ลก เพราะวันนี้ เมืองชายแดนแห่งนี้กลายเป็นพื้นที่ที่มีการขายหวยเถื่อนแบบ “นานาชาติ” กันอย่างครึกครื้น มหาศาลที่สุด มีให้เลือกให้เล่นได้ทุกวัน ทั้งหวยมาเลย์ ที่มีให้แทงสัปดาห์ละ 4 วัน หวยฮานอย หวยลาว หวยกัมพูชา ที่ให้แทงได้ทุกวัน โดยมีนายทุนใหญ่แห่ไปลงทุนเป็นเจ้ามือหวยเถื่อนกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ถามว่าถ้ายาเสพติดถือว่าเป็นภัยแทรกซ้อน แล้วอบายมุขอย่าง “หวยเถื่อน” นับว่าเป็นภัยแทรกซ้อนที่ต้องกวาดล้างจับกุมหรือไม่?!
ที่สำคัญ การที่อบายมุขเหล่านี้งอกเงย ทำกันได้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน นั่นก็เป็นเพราะมีเจ้าหน้าที่ ทั้งในพื้นที่และส่วนกลางร่วมรับผลประโยชน์ด้วย ใช่หรือไม่?
โดยเฉพาะที่สุไหงโก-ลก ข่าวแจ้งว่า เจ้าหน้าที่บางคนเป็นผู้ขูดรีดผลประโยชน์จากผู้ค้า ทั้งรายใหญ่ รายย่อย แม้แต่ร้านขายของหนีภาษีในตัวเมืองทุกร้านก็ต้องจ่าย ถ้าไม่จ่ายก็ค้าขายไม่ได้ ซ้ำยังเก็บหนัก จนแม่ค้าพ่อค้ารายย่อยจ่ายไม่ไหว ต้องปิดร้านหนีกันเป็นแถว วันดีคืนดีมีการนำกำลังจากต่างอำเภอมากวาดล้างผู้ค้าที่ "ดื้อแพ่ง" ไม่ยอมให้ขึ้นค่ารายการอีกต่างหาก
วันนี้ กับเหตุการณ์แพร่ระบาดของ "โควิด-19" ยังทำให้เศรษฐกิจของเมืองชายแดนซบเซา เมื่อที่ "สุไหงโก-ลก" กลายเป็นแหล่งใหญ่ของการทำมาหากินกับ "ภัยแทรกซ้อน" จึงไม่แปลกที่ “นักบิน” จากทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะ "สีกากี" จะบินไปเป็น
"แร้งทึ้ง" และขอคั่นรายการเป็นว่าเล่น
เชื่อเถอะ ทุกอย่างที่เป็นเรื่องของ "ภัยแทรกซ้อน" จากยาเสพติด จนถึงของเถื่อน
บ่อนเถื่อน หวยเถื่อน ที่อยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กี่สิบปีผ่านมาก็ยังไม่ล้มหายตายจาก นั่นเป็นเพราะคนในเครื่องแบบทั้งนั้น
ดังนั้น หาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องการที่จะสลาย “ภัยแทรกซ้อน” ให้ได้จริงๆ ไม่ต้องไปไล่จับผู้กระทำผิดให้เหนื่อย แค่จับคนในเครื่องแบบ ทั้งสีเขียว สีกากี และฝ่ายปกครอง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในตำแหน่งท้องที่ ท้องถิ่นซึ่งมีบัญชีดำอยู่แล้ว แค่นี้ "ภัยแทรกซ้อน" ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ "จบเห่" เอวังด้วยประการฉะนี้แล้ว!