พัทลุง - ตำรวจพัทลุง ตั้งกรรมการสอบสวนเอาผิดในคดี “อมเงินเบี้ยเลี้ยงโควิด-19” ควบคู่กับจเรตำรวจที่ลงตรวจสอบหาข้อเท็จจริง พร้อมเชิญ 2 ผู้สื่อข่าวให้นำข้อมูลและหลักฐานการร้องเรียนของตำรวจชั้นผู้น้อยมาตรวจสอบ
วันนี้ (15 ต.ค.) จากกรณีที่ตำรวจชั้นผู้น้อยหลายโรงพักในพื้นที่จังหวัดพัทลุง ได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรม หลังจากผู้บังคับบัญชาได้อมเงินเบี้ยเลี้ยงช่วงตั้งด่านโควิด-19 ที่ผ่านมา โดยบางแห่งตำรวจชั้นผู้น้อยไม่ได้เลย และบางแห่งได้เพียง 2,000 บาทเท่านั้น ทั้งที่ความจริงเงินเบี้ยเลี้ยงที่ได้น่าจะอยู่รายละไม่ต่ำกว่า 25,000 บาท ตลอดระยะเวลา 3 เดือน แต่เมื่อเงินงบกลางส่งมาให้ กลับไม่ได้รับค่าตอบแทนตามความเหมาะสมเหมือนกันทั่วประเทศ
ล่าสุด ในส่วนของตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง ได้มีตำรวจชั้นผู้น้อยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมออกมาร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาและผู้สื่อข่าวในพื้นที่ เกี่ยวกับการอมเงินเบี้ยเลี้ยงโควิด-19 ขณะที่สำนักงานจเรตำรวจแห่งชาติได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วเช่นกัน
โดยจากหลักฐานเอกสารต่างๆ ในการเบิกจ่ายเงินให้แก่ตำรวจชั้นผู้น้อย พบว่า มีข้อพิรุธในการเบิกจ่ายหลายอย่าง ทั้งที่มีการโอนเงินผ่านบัญชีส่วนตัวให้แก่ผู้บังคับบัญชา แต่ไม่จ่ายให้ตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ และในการตรวจสอบข้อมูลการเบิกเงินจ่ายเงินของเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน พบว่า มีการเปลี่ยนแปลงและทำเอกสารใหม่ก่อนจเรตำรวจเข้ามาตรวจสอบ ซึ่งในการตรวจสอบของสำนักงานจเรตำรวจแห่งชาติยังไม่แล้วเสร็จ
ขณะเดียวกัน ทางด้าน พ.ต.อ.วรา เวชชาภินันท์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง คนใหม่ ได้ตั้งคณะกรรมการชุดสอบสวนหาข้อเท็จจริง จากกรณีการอมเงินเบี้ยเลี้ยงตำรวจชั้นผู้น้อยควบคู่ไปกับการตรวจสอบของสำนักงานจเรตำรวจแห่งชาติ โดยให้ พ.ต.อ.ประสิทธิ์ ปานดำ ผกก.สอบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง เป็นหัวหน้าชุด เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์หน้า โดยได้เรียกสอบทุกโรงพักในสังกัดเพื่อหาความกระจ่าง พร้อมทั้งได้เชิญ นายไสว รุยันต์ และ น.ส.อิสนา อุดมศิลป์ ผู้สื่อข่าวอิสระประจำจังหวัดพัทลุง เพื่อให้ข้อมูลและนำหลักฐานการร้องเรียนของตำรวจชั้นผู้น้อยมาตรวจสอบ หลังทั้ง 2 ได้โพสต์ข้อความการอมเงินเบี้ยเลี้ยงผ่านเฟซบุ๊กของตัวเองเพื่อให้สังคมตรวจสอบ
โดยจากกรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กส่วนตัวของ นายไสว รุยันต์ โพสต์ข้อความในโซเชียล อนาถใจ ##เมื่อตำรวจระดับ พ.ต.อ.ปล้นเบี้ยเลี้ยงภารกิจป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ของตำรวจชั้นผู้น้อยในจังหวัดพัทลุง ฝากถึงผู้การคนใหม่ ช่วยดูแลตำรวจชั้นผู้น้อยด้วยครับ เบี้ยเลี้ยงที่สมควรได้กลับหายวับไปกับตา ทั้งที่มีการเบิกจ่ายเงินไปแล้วแต่ไม่ถึงมือ ถูกผู้บังคับบัญชาปล้นในระหว่างทาง น่าสงสารจริงๆ เงินจากธุรกิจสีเทา ก็เอา จากธุรกิจสีดำก็เอา แล้วมายังปล้นเอาเบี้ยเลี้ยงลูกน้องอีก...ที่นี่พัทลุง.. เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 63 ที่ผ่านมานั้น เพื่อให้มีการตรวจสอบและเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อยที่ไม่ได้รับเงินเบี้ยเลี้ยง
นายไสว รุยันต์ กล่าวว่า ตนได้รับการร้องเรียนจากตำรวจชั้นผู้น้อยหลายราย ทั้งในพื้นที่ จ.พัทลุง และ จ.สงขลา โดยการพูดคุยด้วยวาจาและการโทรศัพท์มาร้องเรียน แต่ขอสงวนนามผู้ให้ข้อมูล เนื่องจากหวั่นจะมีผลกระทบ พร้อมทั้งได้มีการนำเอกสารการเบิกเงินค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติหน้าที่ช่วงโควิด-19 ที่ไม่เป็นธรรมมามอบให้
งบประมาณ 30 กว่าล้านบาท แต่จ่ายให้แต่ละ สภ.ในพื้นที่ จ.พัทลุง ไม่ถึง 6 ล้านบาท และเมื่อเบิกจ่ายมาแล้วเงินก็ไม่ถึงมือผู้ปฏิบัติงานที่เข้าเวร บางรายเข้าเวรตลอด 3 เดือน ได้เบี้ยเลี้ยงแค่ 2,300 บาท แต่นายตำรวจระดับสูงไม่เข้าเวรกลับได้เงินจำนวนมาก ซึ่งไม่เป็นธรรมกับตำรวจชั้นผู้น้อย
และจากเอกสารที่มีการส่งมาให้ นายไสว รุยันต์ นั้น พบว่า มีหลายหน้าและมีการเบิกจ่าย มีการโอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวกันในบางหน่วย ซึ่งในความจริงงบกลางนั้นมันทำไม่ได้ พร้อมทั้งงบที่ได้มา 30 กว่าล้านบาท มีการเบิกจ่ายอย่างรวดเร็ว ไม่ถึง 7 วันหายเกลี้ยง ทั้งที่เงินมียอดส่วนต่างแต่ไม่มีการคืนเงินให้แก่งบกลาง ทั้งที่ในระเบียบหากเงินคงเหลือเบิกจ่ายไม่หมดต้องคืนแต่กลับไม่มี นายไสว รุยันต์ จึงได้โพสต์เฟซบุ๊กให้สังคมร่วมตรวจสอบ
ซึ่งในวันนี้ (15 ต.ค.) นายไสว รุยันต์ พร้อมด้วย น.ส.อิสนา อุดมศิลป์ ผู้เสื่อข่าว ได้เดินทางให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน พร้อมทั้งได้นำเอกสารการเบิกจ่ายเงินเบี้ยเลี้ยงโควิด-19 จำนวน 46 หน้า และแผ่น VDO คลิปเสียงการประชุมการต่อรองของผู้กำกับแห่งหนึ่งในจังหวัดพัทลุง โดยมีข้อความสรุปสั้นๆ ว่า “เงินเบี้ยเลี้ยงโควิด-19 นั้น ผกก.จะหักเงินไว้ 2 แสนบาท เพื่อสร้างศาลา และส่วนที่เหลือจะแบ่งให้เจ้านาย และหากใครมีข้อโต้แย้งหรือร้องเรียนจะสั่งย้ายให้ออกนอกพื้นที่”
ขณะที่ พ.ต.อ.วรา เวชชาภินันท์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง คนใหม่ กล่าวเพียงสั้นๆ ไว้ว่า ใครทำกรรมอะไรไว้ และเอาเปรียบอะไรไว้ คนนั้นต้องรับกรรมเอง พร้อมทั้งระบุว่า รอสอบสวนข้อเท็จจริงอีกนิด หากมีความผิดจริงจะมีการลงโทษทางวินัยและอาญาต่อไป