ทีมข่าวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้มีการติดตามการสับเปลี่ยน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสะท้อนความรู้สึก แนวคิด และแนวทางการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ งานด้านความมั่นคงที่กำลังสู่ยุคของการเปลี่ยนผ่านสู่การพูดคุย การสร้างพื้นที่ให้เอื้อต่อการพูดคุยสันติสุข และสันติภาพ งานด้านการพัฒนา ยกระดับวิถีชีวิตของคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในยุคของกระแสการผลักดันสร้างนิคมอุตสาหกรรมด้านพลังงานขนาดใหญ่ในพื้นที่
จึงได้มีโอกาสพูดคุยสัมภาษณ์กับ พล.ต.คมกฤช รัตนฉายา ในฐานะผู้บัญชาการหน่วยเฉพาะกิจปัตตานีคนใหม่ และผู้บังคับกองกำลังทหารพรานจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นลูกคนที่ 2 ของ พล.อ.กิตติ รัตนฉายา อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ที่มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบ ในยุคที่กองกำลังปลดปล่อยปัตตานี หรือขบวนการแบ่งแยกดินแดนรุ่งโรจน์
โดย พล.ต.คมกฤช รัตนฉายา สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี กรุงเทพฯ จากนั้นเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนเตรียมทหาร และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ รุ่นที่ 26 และนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 37 บรรจุเข้ารับราชการ เรียนหลักสูตรชั้นนายร้อย เหล่าทหารราบ รุ่นที่ 88 หลักสูตรชั้นนายพัน เหล่าทหารราบ รุ่นที่ 64 และหลักสูตรประจำ โรงเรียนเสนาธิการทหารบก รุ่นที่ 78 ปี 2532 หลักสูตรส่งทางอากาศ รุ่นที่ 186 โรงเรียนสงครามพิเศษ ศูนย์สงครามพิเศษ 2533 หลักสูตรการรบแบบจู่โจม รุ่นที่ 181 โรงเรียนศูนย์การทหารราบ 2561 หลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ ระดับผู้บริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ รุ่นที่ 14 หลักสูตรวุฒิบัตรการเสริมสร้างสังคมสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รุ่นที่ 5 สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า ปฏิบัติหน้าที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา จนถึงปัจจุบันร่วม 30 ปี
พล.ต.คมกฤช เปิดเผยอีกว่า เคยปฏิบัติงานภาคสนามที่สำคัญ ปี 2538 รองผู้บังคับกองร้อยทหารราบที่ 4015 อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ปี 2539 นายทหารติดต่อ หน่วยเฉพาะกิจผสมไทย-มาเลเซีย กองพลน้อยที่ 2 รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย ปี 2547 ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 501 ปี 2548 หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 22 ปี 2551 ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหาร ปี 2555 ทหารพรานที่ 41 อ.รามัน จ.ยะลา ปี 2559 ผู้บังคับกองกำลังทหารพรานจังหวัดชายแดนใต้ จนถึงปัจจุบัน และล่าสุดได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 46 และ ผบ.ฉก.ปัตตานี ด้วย
พล.ต.คมกฤช กล่าวว่า จริงๆ แล้วไม่ได้รู้อะไรมากในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ แต่เท่าที่เห็นในภาพรวม จริงๆ แล้วปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่แก้ไม่ยาก เราต้องใช้ความรัก ความเข้าใจ และความจริงใจ ถ้าเข้าใจ รักกัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะมีการประนีประนอม ต้องมีความจริงใจด้วย ความจริงใจที่ทุกฝ่ายชอบพูด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็จะพูดว่าให้แก้ไขด้วยความจริงใจ เจ้าหน้าที่ก็บอกต้องแก้ไขด้วยความจริงใจ เรื่องจริงไม่ทราบว่าคนพูดคำว่าจริงใจ เข้าใจดีแค่ไหนกับคำว่าจริงใจจริงๆ
ส่วนตนนิยามคำว่า จริงใจ หมายถึงคนเรารู้จักกันอะไรต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ บางทีบางอย่างต้องพูดด้วยความจริง ความจริงคืออันไหน ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ อันไหนใช่ก็ต้องพูดว่าใช่ แต่ต้องไม่ใช้ความรู้สึกตัวเองเป็นที่ตั้ง พอไม่ตรงตามที่ตัวเองคิดก็จะบอกว่าไม่จริงใจ ซึ่งถ้าเรื่องไหนที่จะต้องยอมรับผิด ก็ต้องยอมรับผิด ถ้าเจ้าหน้าที่ทำผิดก็ต้องยอมรับผิด ฝ่ายผู้ขัดแย้งเหมือนกัน ถ้าเกิดตรงไหนที่ไปล้ำเส้นประชาชนก็ต้องยอมรับผิด มันจะแก้ไขยากถ้าพูดไม่ตรงกับใจ ไม่ว่าเจ้าหน้าที่หรือทางฝ่ายไหนก็แล้วแต่ แต่ถ้าพูดไม่ตรงกับใจ มันก็จะซ่อนปัญหาลึกอยู่ข้างในไปเรื่อยๆ การแก้ปัญหาก็จะไม่ถูกจุดไปเรื่อยๆ ก็จะเก็บความไม่สบายใจตลอดเวลา
มองปัญหาชายแดนใต้เป็นอย่างไร?
: ปัญหาภาคใต้มันซับซ้อน แน่อยู่แล้วมันก็มีองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น สภาพแวดล้อม ความเชื่อ ความเป็นอยู่ วัฒนธรรม มันจะต้องแยกให้ออก พระในพื้นที่ให้พรเป็นภาษายาวี และกลุ่มขบวนการบางคนเขาเคยเรียนอยู่ห้องเดียวกันกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งจริงๆ แล้วที่นี่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
เด็กๆ เรียนชั้นประถม ที่โรงเรียนบุญมีวิทยา ที่ อ.โคกโพธิ์ เพราะพ่อเป็นผู้บังคับกองร้อยอยู่ที่ค่ายอิงคยุทธมาตลอด และเติบโตอยู่ที่นี่ เป็นเด็กที่นี่มาตลอด เพื่อนอยู่ที่นี่หลายคน แต่พอโตมาก็ไปเรียนต่อตามวิถีทาง และกลับมาทำงานที่นี่ คนโชคดีตรงที่ว่าผู้ใหญ่หลายๆ คน เคยทำงานร่วมกับพ่อ สมัยพ่อเป็นผู้บังคับหน่วย ตอนนั้นอาจจะยังเด็กอยู่ จนถึงปัจจุบันหลายๆ คนก็ยังอยู่ ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็น อาจารย์นิเดย์ วาบา พ่อผมพูดอยู่เสมอว่าคนที่จะแก้ปัญหาได้ก็คือมุสลิมด้วยกัน สมัยก่อนเคยมีโครงการมุสลิมแก้ปัญหา ถ้าเกิดคนที่ไม่ใช่มุสลิมไปแก้ แค่เปิดทีวีเขาก็ปิดหนีแล้ว
และเคยบอกด้วยว่า ผู้อาวุโสหลายคนในพื้นที่จะสามารถแก้ปัญหาได้ดี มีหลายคนทั้ง อาจารย์วันมูหะมัดนอร์ มะทา ผมก็รู้จัก อันนี้ต้องขออนุญาตเอ่ยชื่อนิดนึง เพราะเป็นข้อมูลที่ชัดเจน เป็นข้อเท็จจริง และท่านก็แนะนำว่าจริงๆ แล้วเราก็คุยกับคนเหล่านี้ เพราะท่านจะช่วยได้หลายอย่าง
พล.ต.คมกฤช ยังกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาบทบาทของผมจะหนักไปทางปฏิบัติการเชิงรุกต่อผู้ก่อความไม่สงบ ผมไม่เคยโกรธเขาเลย ให้โอกาสมาตลอด ผมถือว่าเราเป็นคนไทยด้วยกัน ถ้าเราไม่คิดว่าเขาเป็นคนไทย การปฏิบัติก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง คนต่างชาติจะไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้ ที่เราพบหลายคนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง มีอุดมการณ์บางสิ่งบางอย่างที่ไม่ตรงเท่านั้นเอง มันไม่ใช่อาชญากรโดยสันดาน
หลังจากนี้ที่จะต้องมารับหน้าที่เป็น ผบ.ฉก.ปัตตานี จะต้องทำงานมวลชนเยอะขึ้น ผมอยากจะพบพูดคุยกับท่านอาวุโสทั้งหลาย และผู้นำศาสนาทั้งหมด ท่าน ส.ส. ส.ว.ทั้งหมด ผมก็อยากคุยด้วย ท่านอาวุโสทั้งหมดคือบุคคลสำคัญที่จะแก้ปัญหาในพื้นที่นี้ได้ เพราะท่านพูดได้แล้วรู้จักจริง
ซึ่งถ้าเราพูดความจริง อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ อันนี้ไม่ได้ อันนั้นได้ มันก็จะง่าย ไม่มีปัญหา วัฒนธรรมตามประสาคนไทยเขาบอกว่า การเข้าบ้านต้องถอดรองเท้าก็ต้องถอด มันเป็นความรู้สึก ถามว่าถ้าถอดรองเท้าๆ จะขาด มันก็ไม่ใช่อีก มันก็ไม่มีปัญหา ไม่มีหรอกในโลกสู้กันจนหยดสุดท้าย เคยเห็นไหมรบกันจนคนสุดท้าย รบมาทั้งประเทศเหลือแค่ 5 คนสุดท้าย มันไม่มี เขาจะทะเลาะกันแรกๆ ขัดแย้งด้วยแล้วก็คุยกัน แล้วก็มาเจอกันตรงไหนได้ไม่ได้ และสุดท้ายถ้าเกิดไม่จบตรงนี้ มันก็จะมีแต่เรื่องเสียหายทั้งสองฝ่าย
ทิศทางและแนวทางของปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ปัจจุบัน?
: พล.ต.คมกฤช ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ที่ผ่านมาเท่าที่เจอ คนที่เข้าใจผิด พูดปั๊บเข้าใจรู้เรื่องก็มี และเยอะด้วยกลุ่มนี้ แต่คนที่พูดไม่รู้เรื่อง เชิญมาแล้วร้อยครั้ง พูดมาแล้วเป็นร้อย ให้โอกาสมาแล้วก็ยังไม่รู้เรื่อง กลุ่มนี้มีไม่มาก เหตุความไม่สงบลดลงเยอะในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเพราะกลุ่มขบวนการได้เปลี่ยนวิธีต่อสู้มาเล่นการเมือง เป็น ส.ส. เป็นนู่นเป็นนี่ ก็เป็นสิทธิของเขา ไม่ได้ว่าอะไร รัฐเองก็ต้องการให้เป็นแบบนี้มาพูดคุยกัน
แต่ถ้าคิดจะสู้ไปเรื่อยๆ แบบนี้ ไม่มีทางชนะรัฐ เพราะรัฐเปลี่ยนใหม่มาเรื่อย เขาเปลี่ยนไม่ไหวหรอก แต่รัฐเปลี่ยนได้เป็นร้อยปี เช่น ที่นี่ไม่มีผม ก็ยังมีอีก 60 ล้านคนที่จะเข้ามาทำหน้าที่ต่อ รัฐเป็นระบบใหญ่ ก็เปลี่ยนมาเรื่อยๆ ต่อสู้เขาก็เสียไปเรื่อยๆ ญาติพี่น้องลูกหลานไม่พอใจอีก ไม่มีประโยชน์อะไร จึงอยากให้คุยกันแล้วจะเข้าใจ แล้วก็เราจะอยู่ร่วมกันได้ดี