ตรัง - ชาวบ้านหมู่ 5 บ้านเขาติง ต.ลิพัง อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ต้องจูงหรือแบกลูกข้ามสะพานที่หักจากฤทธิ์ “พายุโนอึล” เพื่อเดินทางไปโรงเรียน และกลับบ้าน จนเสี่ยงเกิดอันตราย วอนเร่งช่วยซ่อมแซมให้สามารถใช้การได้
วันนี้ (30 ก.ย.) ชาวบ้านหมู่ 5 บ้านเขาติง ต.ลิพัง อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ได้ร้องเรียนสะพานไม้ข้ามคลองหัก หลังถูกน้ำป่าไหลหลากในช่วงพายุโนอึล เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ชาวบ้านที่มีสวนยางพารา รวมทั้งพื้นที่การเกษตรอื่นๆ ที่อยู่ด้านใน รวมไม่น้อยกว่า 20 แปลง ที่จะต้องใช้สะพานข้ามคลองดังกล่าว ต้องหยุดกรีดยางพารามายาวนานนับแต่บัดนั้น ทำให้ขาดรายได้ เพราะไม่สามารถจะขนน้ำยาง รวมทั้งขนผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ ได้ ทั้งยังมีบ้านพักอาศัยอยู่ด้านใน จำนวน 2 หลังคาเรือน ก็ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก
โดยบ้านหลังหนึ่งมีคนแก่อาศัยอยู่ จำนวน 2 คน แต่ขณะนี้ได้ออกจากบ้านไปอาศัยอยู่บ้านญาติแล้ว ส่วนอีกหลังซึ่งอยู่อาศัยกัน 2 คนพ่อลูก คือ นายธวัชชัย อินทร์เครา อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 64/4 ต.ลิพัง กับ ด.ญ.อัจฉราพร อินทร์เครา หรือน้องแพรวา อายุ 8 ปี นักเรียนชั้น ป.3 โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งใน อ.ปะเหลียน ที่ยังคงพักอาศัยอยู่ที่บ้าน และจะต้องใช้สะพานข้ามคลองที่หักดังกล่าวเพื่อไปโรงเรียน และกลับบ้านทุกวันทั้งเช้าเย็น
ซึ่งหากปริมาณน้ำสูงมากก็ต้องหยุดไปโรงเรียน แต่หากพอจะสามารถเดินข้ามได้ คุณพ่อก็พยายามจะแบกลูกขึ้นขี่คอเพื่อนำไปส่งอีกฟาก หรือหากน้ำไม่สูงมากนักอย่างในวันนี้ ผู้เป็นพ่อก็จะพยายามจูงลูกเดินข้ามสะพานที่หักอยู่กลางคลองยาวประมาณ 15 เมตรดังกล่าว ทำให้ลูกสาวซึ่งหวาดกลัวลื่นล้มตกน้ำ ต้องร้องไห้เกือบทุกวันอย่างน่าอนาถใจ
ทั้งนี้ ชาวบ้านกล่าวว่า ที่ผ่านมาหลังสะพานหัก ก็ได้ทำหนังสือพร้อมแนบบัญชีหางว่าวชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน รวมจำนวน 38 รายชื่อ ไปยัง อบต.ลิพังแล้ว และร้องเรียนผ่านผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ด้วย แต่ได้รับคำตอบจาก อบต.ว่า พื้นที่นี้อยู่ในเขตป่าไม้ ไม่สามารถจะซ่อมแซมได้ ทำให้ชาวบ้านต่างน้อยใจ และเปรียบเทียบกับบางพื้นที่ซึ่งอยู่ในเขตป่าเช่นเดียวกัน แต่อยู่ลึกเข้าไปมากกว่า ยังมีสะพานคอนกรีต หรือสะพานไม้ที่แข็งแรงไว้ใช้สัญจร ขนผลผลิตทางการเกษตรได้ แต่ในพื้นที่นี้กลับสร้างไม่ได้
โดยชาวบ้านยืนยันว่า ที่ดินบริเวณดังกล่าวได้อาศัยทำกินมายาวนานหลายชั่วอายุคนแล้ว ทั้งหมดจึงเรียกร้องขอสะพานชั่วคราวให้สามารถเดินทางสัญจรไปมา รวมทั้งไว้สามารถไปทำมาหากินขนพืชผลทางการเกษตรได้ตามปกติ หรือขออนุเคราะห์เสาเข็ม 8 เสา เพื่อปักส่วนหัว ท้าย และตรงกลางน้ำ ส่วนสะพานจะหาไม้มาทำเอง หรือขอเสาไฟฟ้าแรงสูงมาพาดเชื่อม 2 ฝั่ง ทำเป็นสะพานชั่วคราว ก็สามารถใช้สัญจรไปมาได้แล้ว
นายธวัชชัย อินทร์เครา คุณพ่อที่ต้องจูงหรือแบกลูกขี่คอข้ามสะพาน ซึ่งเป็นตัวแทนชาวบ้าน กล่าวว่า หลังเกิดเหตุตนเองพร้อมด้วยกลุ่มชาวบ้านที่มีบ้านเรือนอยู่ด้านใน 2 หลัง รวมทั้งชาวบ้านที่มีสวนยางพารา และพื้นที่การเกษตรอยู่ภายในรวม 38 รายชื่อ ได้ร่วมกันทำหนังสือร้องเรียนไปยัง อบต. รวมทั้งร้องเรียนผ่านผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่แล้ว แต่ได้รับคำตอบว่าไม่สามารถจะซ่อมแซมสร้างสะพานชั่วคราวได้ เพราะอยู่ในเขตป่า โดยบ้านเรือนที่อยู่ด้านในมี 2 หลัง หลังหนึ่งเป็นผู้สูงอายุ 2 คน ขณะนี้ย้ายไปพักอาศัยบ้านญาติเป็นการชั่วคราว แต่บ้านของตนเองซึ่งจะต้องอยู่ที่บ้าน เพราะยังมีสัตว์เลี้ยงให้ต้องดูแลด้วย
ซึ่งหลังสะพานหักมานานร่วม 2 สัปดาห์ ลูกได้ไปโรงเรียนบ้าง ไม่ได้ไปบ้าง หากน้ำสูงมากก็จะไม่ได้ไป แต่หากพอจะเดินข้ามได้ ตนเองจะให้ลูกสาวขึ้นขี่คอพาเดินข้ามมาเพื่อมาส่งอีกฝั่ง จากนั้นกลับไปเอาสัมภาระ รวมทั้งกระเป๋านักเรียนตามมา หรือหากบางวันที่ฝนไม่ตก น้ำไม่มากนักเหมือนวันนี้ ตนเองจะจูงมือลูกสาวเดินข้าม แต่ก็ทุลักทุเล เพราะสะพานไม้ที่เก่าชำรุด และมีตะไคร่น้ำเกาะทำให้ลื่น เสี่ยงลื่นล้ม ลูกสาวจึงตกใจกลัว ร้องไห้เกือบทุกวัน จึงวอนขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยเหลือช่วยซ่อมแซมให้สามารถสัญจรไปมาได้ตามปกติเท่านั้น