xs
xsm
sm
md
lg

ย่างก้าวของ BRN ใต้เงา “ฝรั่งตาน้ำข้าว” ยกระดับเป็นสากล หวังปกครองตนเอง?!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้/
โดย…ไชยยงค์ มณีพิลึก



หลังการวิสามัญฆาตกรรมกลุ่มติดอาวุธ หรือ "อาร์เคเค" ครั้งใหญ่เมื่อเดือน ส.ค. 2563 แม้ว่าจะไม่มีการออกมาเอาคืนด้วยการก่อเหตุรุนแรง มีเพียงการก่อเหตุที่เรียกว่าประปรายเกิดขึ้นเท่านั้น แต่สถานการณ์ในพื้นที่ก็ประมาทไม่ได้

เพราะหลังการวิสามัญฯ จำนวน 7 ศพ ในพื้นที่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี และต่อเนื่องด้วยการวิสามัญฯ “อาร์เคเค” อีก 2 ศพ ที่ อ.เทพา จ.สงขลา หน่วยข่าวความมั่นคงของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้ายังคงแจ้งเตือนเป็นระยะๆ ถึงความเคลื่อนไหวของ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น ที่เตรียมจะก่อเหตุในหลายพื้นที่ โดยยังเน้นหนักที่ จ.ปัตตานีเป็นด้านหลัก

หากข่าวที่มีการแจ้งเตือนเป็นจริง วันนี้ เจ้าหน้าที่รัฐและคนในพื้นที่ยังอยู่ในวังวนของอันตรายที่อาจจะสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินได้ทุกเมื่อ เนื่องจากกองกำลังติดอาวุธของบีอาร์เอ็นยังเคลื่อนไหวในพื้นที่ 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ยังใช้ยุทธวิธีเดิมๆ คือ เมื่อสูญเสียต้องเอาคืน และถ้าเอาคืนกับฝ่ายความมั่นคงไม่ได้ ก็เอาคืนกับชาวบ้าน ครู และพระเถรเณรชี

แต่ถ้าการแจ้งเตือนของการข่าวเป็นเพียง “รูปแบบ” ที่ต้องทำหลังการเกิดเหตุแนวร่วมถูกวิสามัญฯ ไม่ได้ใช้หลักของการหาข่าว แต่ใช้หลักเหวี่ยงแห แจ้งเตือนไว้ก่อน เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่า ทุกพื้นที่ที่มีการแจ้งเตือนล้วนเสี่ยงต่อการเกิดเหตุได้ทุกเมื่อ ถ้าแจ้งแล้วไม่มีเหตุ ก็ยกประโยชน์ให้แก่กำลังในพื้นที่ว่าป้องกันได้ ถ้าแจ้งแล้วเกิดเหตุ หน่วยข่าวก็เอาตัวรอดได้ว่า ก็ได้แจ้งเตือนแล้ว ฝ่ายกำลังในพื้นที่ป้องกันไม่ได้เอง


อย่างไรก็ตาม วันนี้ บีอาร์เอ็นเปลี่ยนยุทธวิธีไปแล้ว ไม่เอาคืนกับครู พระ และชาวบ้านทั่วไป ยกเว้นชาวบ้านที่เป็นสายข่าวของทหาร ตำรวจ ซึ่งเป็นผลมาจากได้รับแนวคิดนี้มาจาก “เจนีวาคอล” ที่ปรึกษาใหญ่ของบีอาร์เอ็น ซึ่งเป็นองค์กรเอ็นจีโอระดับสากล
ที่มีอิทธิพลในสหประชาชาติ

รวมทั้งจาก ไอซีอาร์ซี (ICRC) หน่วยงานกาชาดระหว่างประเทศที่เข้ามาลงหลักปักแหล่งใน จ.ปัตตานี มาหลายปี เพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้แก่ "ปีกทางการเมือง" ของบีอาร์เอ็น และจนถึงขณะนี้ ไอซีอาร์ซีก็ยังดื้อด้านที่จะไม่ย้ายออกจาก จ.ปัตตานี ทั้งที่สภาความมั่นคง สมช. และกระทรวงต่างประเทศได้ขอร้องแทบจะก้มกราบเพื่อให้ออกจากพื้นที่
เนื่องจากเห็นวาระซ่อนเร้นของไอซีอาร์ซี ที่ส่อว่าจะมีส่วนทำให้สถานการณ์ความไม่สงบของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยุ่งเหยิงมากขึ้น

เมื่อตรวจสอบความเคลื่อนไหวของแกนนำบีอาร์เอ็นในพื้นที่ พบว่า ยังมุ่งมั่นในการทำงานด้านมวลชนผ่านองค์กรและมูลนิธิต่างๆ ที่ตั้งขึ้นมาบังหน้า บ่มเพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ เพื่อหวังบรรลุผลในอีก 10 ปี สร้างให้เป็นกองกำลังรุ่นใหม่ ซึ่งขณะนี้มีตัวเลขเด็กกำพร้าอยู่ราว 6,000 คน ทั้งจากครอบครัวที่ถูกวิสามัญฯ ถูกจับกุมคุมตัว อุ้มหาย รวมทั้งจากสาเหตุอื่นๆ ที่ถูกแนวร่วมโยงให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่รัฐ


ในขณะที่แกนนำของบีอาร์เอ็นในประเทศมาเลเซียก็ดำเนินการด้วยการใช้เวทีของยูเอ็นออกแถลงการณ์ตามที่เจนีวาคอลเป็นผู้บอกบทว่า บีอาร์เอ็นจะไม่ใช้ทหารเด็กในการต่อสู้กับรัฐไทย เป็นการออกตัวไว้ก่อน เพื่อให้หน่วยงานของไทยตายใจและเชื่อว่าเป็นจริง
เพราะมียูเอ็นเป็นผู้การันตี นี่คือการแบ่งกันเล่น แบ่งกันทำหน้าที่ของแกนนำบีอาร์เอ็นในพื้นที่และนอกประเทศ

ถ้าติดตามขบวนการบีอาร์เอ็นอย่างเกาะติด ทั้งในพื้นที่ประเทศไทยและมาเลเซีย ก็จะพบว่า หลังการเข้ามาช่วยเหลือจากเจนีวาคอล และไอซีอาร์ซี วิธีการของบีอาร์เอ็นก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นสากลมากยิ่งขึ้น

วันนี้ บีอาร์เอ็นไม่ได้มุ่งมั่นในการสร้างกองกำลังติดอาวุธ ไม่ว่าจะเป็น “อาร์เคเค” คอมมานโดฮารีเมา หรือ “เสือภูเขา” เหมือนในอดีต วันนี้ เพียงแค่คงกำลังอาร์เคเคเอาไว้แค่จำนวนหนึ่งเพื่อใช้ก่อการร้ายตามเงื่อนไข
และใช้ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่แบบยอมตาย และเมื่อตายแล้วก็จะไม่อาบน้ำศพ โดยการบิดเบือนหลักศาสนาว่า เป็นผู้พลีชีพ เป็น “นักรบของพระเจ้า” เพื่อสร้างความฮึกเหิมให้คนในพื้นที่เอาเป็นแบบอย่าง และสร้างความโกรธแค้นให้เกิดขึ้นกับญาติ พี่น้อง และคนในชุมชน เป็นการเพิ่มมวลชนให้แก่ขบวนการในทางอ้อม


อย่างไรก็ตาม 6 ปี ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ให้ความสำคัญอย่างเต็มที่กับบีอาร์เอ็น โดยเฉพาะเรื่องการพูดคุยกับบีอาร์เอ็น ที่ประเทศมาเลเซีย ก็มีการเล่นบทแบบปาหี่ ไม่ได้จริงจัง ไม่ได้เชื่อว่า
จะทำให้ยุติปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้แต่อย่างใด สถานการณ์แบบนี้จึงเป็นผลร้ายกับการ “ดับไฟใต้” ที่แผ่นดินปลายด้ามขวาน และเป็นผลดีกับขบวนการบีอาร์เอ็น ทั้งในวันนี้และในอนาคต เพราะจะทำให้บีอาร์เอ็นบรรลุในเรื่องการยกระดับเป็น “องค์กรก่อการร้ายสากล” เป็นที่ยอมรับของยูเอ็น รอเพียงการสร้างเงื่อนไขในพื้นที่เพื่อให้สอดคล้องต่อกฎบัตรและกฎหมายของสหประชาชาติให้ได้ ขั้นต่อไปคือ ลงมือประกาศขอการปกครองตนเอง

ดังนั้น สถานการณ์ของรัฐไทยจึงอยู่ในสภาพที่พ่ายแพ้ ทั้งขึ้นทั้งล่อง นอกจากแพ้ต่อกลยุทธ์ของบีอาร์เอ็นแล้ว ยังแพ้ต่อยุทธวิธีการแทรกแซงขององค์กรฝรั่งต่างชาติอีกด้วย เพราะวันนี้ ฝรั่งต่างชาติไม่เพียงแต่แทรกแซงเพื่อร่วมกับบีอาร์เอ็น 
ในการทำให้รัฐไทยต้องเสียดินแดนปลายด้ามขวาน แต่ “ฝรั่งตาสีน้ำข้าว” ยังเข้ามาแทรกแซง รุกล้ำอธิปไตยของประเทศ




กำลังโหลดความคิดเห็น