ความพยายามผลักดันให้มีการขุดคลองไทยเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน และเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นในปี พ.ศ.2558 โดยมีทุนจีนเข้ามาสนับสนุนทุนในการศึกษา รวมถึงการผลักดันคลองไทยของกลุ่มนายพลที่เกษียณอายุราชการ
ในปี พ.ศ.2560 มีการจัดตั้งสมาคมคลองไทยเพื่อการศึกษาและพัฒนา ซึ่งเป็นองค์กรหลักในการเคลื่อนไหวให้ข้อมูลด้านดีของโครงการ มีการจัดกิจกรรมในพื้นที่ขุดคลองร่วมกับผู้นำท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง หว่านล้อมให้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบลงนามสนับสนุนเพื่อเสนอโครงการต่อรัฐบาล จากนั้นในปี 2561 มีการจัดตั้งพรรคคลองไทย ชูนโยบายเสนอพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คลองไทย นอกจากนี้ ยังมีพรรคการเมืองอีกจำนวนหนึ่ง ที่มีนโยบายสนับสนุนคลองไทย ปัจจุบัน สภาผู้แทนราษฎรได้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาการขุดคลองไทยและการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีการนำเสนอข้อมูลคลองไทยในด้านดีอย่างต่อเนื่อง ในส่วนรายงานชิ้นนี้จะนำเสนอข้อมูลคลองไทยในอีกด้านหนึ่ง โดยเรียบเรียงข้อมูลจากการให้สัมภาษณ์ของผู้ผลักดันโครงการ งานศึกษาของบริษัทจีน งานศึกษาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และการเข้าร่วมเวทีนำเสนอข้อมูลคลองไทย
๐ “คลองไทย” ตัดแบ่งแผ่นดิน
คลองไทยเป็นการขุดคลองขนาดใหญ่ ตัดแบ่งแผ่นดินภาคใต้ เชื่อมทะเลฝั่งอันดามันกับอ่าวไทย เพื่อเป็นช่องทางสัญจรทางทะเลระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก ข้อมูลล่าสุด ระบุว่า เส้นทางที่เหมาะสมที่สุดของคลองไทยคือ เส้น 9A ซึ่งผ่าน 5 จังหวัด ได้แก่ กระบี่ ตรัง นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา มีความยาว 135 กม. ความกว้างประมาณ 400 เมตร ความลึกประมาณ 30 เมตร คาดว่า ต้องเสียพื้นที่เฉพาะพื้นที่ขุดอย่างน้อย 1,400 ตารางกิโลเมตร นอกจากนั้น ยังต้องขุดร่องน้ำลึกประมาณ 30 เมตร โดยฝั่งอันดามันขุดห่างออกจากฝั่งไปประมาณ 30-40 กิโลเมตร ส่วนฝั่งอ่าวไทยประมาณ 50-55 กิโลเมตร
เส้นทางคลองไทยเริ่มจากปากทางเข้าด้านทะเลอันดามันในพื้นที่ จ.กระบี่ อยู่ระหว่างเกาะไหงกับเกาะลันตา ไปยังพื้นที่ จ.ตรัง ที่บ้านแหลมไทร ต.เขาไม้แก้ว ต.กะลาเส อ.สิเกา ต.วังมะปราง อ.วังวิเศษ ต.วังคีรี ต.บางดี ต.หนองช้างแล่น อ.ห้วยยอด ต.หนองบัว อ.รัษฎา ไปยัง จ.นครศรีธรรมราช ในพื้นที่ ต.น้ำตก อ.ทุ่งสง ต.ควนหนองหงส์ ต.เขาพระทอง ต.ท่าเสม็ด ต.เคร็ง อ.ชะอวด ผ่าน จ.พัทลุง ในพื้นที่ อ.ป่าพะยอม อ.ควนขนุน ไปยัง ต.ควนชะลิก อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ไปยัง จ.สงขลา ในพื้นที่ ต.คลองแดน ต.ท่าบอน อ.ระโนด แล้วออกทะเลอ่าวไทย คาดว่าจะมีการอพยพประชาชนในพื้นที่ขุดคลองอย่างน้อย 63,441 คน
๐ ผู้ผลักดันคลองไทยให้ข้อมูลคลาดเคลื่อน
กลุ่มผู้ผลักดันโครงการ ระบุว่า คลองไทยจะช่วยย่นระยะเวลาการเดินเรือจากมหาสมุทรอินเดียไปทะเลจีนใต้ ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าโลกตะวันออกแทนสิงคโปร์ นอกจากนั้น จะเป็นแหล่งอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวระดับโลก โดยชูวาทกรรม “คลองไทยหัวใจของชาติ” ด้านผู้ประกอบการเดินเรือมีความเห็นว่า มีการให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงในหลายเรื่อง
นายเฉลิมพล ชัยวรพงศา ผู้ประกอบการเดินเรือวงศ์สมุทรนาวี กล่าวว่า สมาคมคลองไทยให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เช่น ช่องมะละกาไม่ได้แคบ ส่วนที่แคบสุดมีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร และมีความลึก 30 เมตรขึ้นไป ลึกพอๆ กับคลองไทยที่จะขุด หลายประเทศมีการพัฒนาเส้นทางขนส่งสินค้าทางน้ำและทางบก เช่น จีนพัฒนารถไฟจากซีอานไปยังปราก ยุโรป ไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องมาใช้คลองไทย ต้นทุนโครงการนี้ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านล้านบาท ไม่ใช่ 2.4 ล้านล้านบาท ตามที่ให้ข้อมูล ตัวเลขดังกล่าวยังไม่รวมต้นทุนอื่นๆ เช่น ค่านำดินที่ขุดไปถมเกาะขนาดใหญ่ ซึ่งมีเนื้อที่รวมประมาณ 1 แสนไร่ การขุดคลองไทยใช้ผู้รับเหมาจากบริษัทต่างประเทศ ไม่ได้ใช้แรงงานไทย จะมีการนำคนงานต่างชาติประมาณ 30,000 คนเข้ามาในประเทศไทย เพื่อจัดการงานก่อสร้าง คลองไทยขาดทุนอย่างมาก ต้องพึ่งพารายได้จากนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งถ้าหากต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมไม่จำเป็นต้องขุดคลอง
นายเฉลิมพล กล่าวอีกว่า การขุดคลองไทยส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาก โดยเฉพาะแม่น้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งปะการัง แหล่งวางไข่ของปลา ต้องเตรียมแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่สำหรับเติมในคลอง เราต้องสูญเสียหลายอย่าง เพื่อแลกกับคลองที่ขาดทุน ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย เราจะเลือกทางเดิม ซึ่งเป็นจุดแข็งไหม หรือจะเปลี่ยนเป็นนิคมอุตสาหกรรม เราต้องตัดสินใจว่าอะไรที่ดีกว่า
๐ “เขตเศรษฐกิจพิเศษขวานทอง” ใหญ่กว่า EEC
การขุดคลองไทยไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อเป็นเส้นทางเดินเรือใหม่เท่านั้น หากแต่จะมีการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจโดยเรียกว่า “เขตเศรษฐกิจพิเศษขวานทอง” ซึ่ง ส.ส.พรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านประกาศจะผลักดันให้มีการออกกฎหมายฉบับนี้
ข้อมูลจากผู้ผลักดันโครงการ ระบุว่า ในพื้นที่คลองไทย พัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษได้ประมาณ 800 ตารางกิโลเมตร หรือ 5 แสนไร่ จะเป็นนิคมอุตสาหกรรมประมาณ 400 ตารางกิโลเมตร หรือ 2.5 แสนไร่ นอกจากนั้น เป็นเกาะท่าเรือ การท่องเที่ยว และอื่นๆ โดยมีการนำดินที่ได้จากการขุดคลองอย่างน้อย 5,300 ล้านลูกบาศก์เมตร มาถมทะเลทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย ประมาณ 10 เกาะ รวมเนื้อที่ประมาณ 1 แสนไร่
ในส่วนรายงานการศึกษาของบริษัทจีน ระบุถึงการถมทะเลในพื้นที่อันดามัน จ.ตรังและ จ.กระบี่ ว่า จะมีการถมทะเลที่เกาะมุก จ.ตรัง เพื่อเป็นเกาะพลังงานหรืออุตสาหกรรมปิโตรเคมี เนื้อที่ 92 ตารางกิโลเมตร ในส่วนเกาะกระดาน จ.ตรัง กับเกาะไหง จ.กระบี่ จะเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีด้วย นอกจากนี้ จะมีการถมทะเลเชื่อมเกาะลันตาใหญ่ เกาะลันตาน้อย และเกาะปอ จ.กระบี่ เพื่อเป็นท่าเรือ นอกจากนั้น มีการกำหนดพื้นที่บ้านบ่อม่วง อ.คลองท่อม จ.กระบี่ เป็นพื้นที่อุตสาหกรรมการประมงทางทะเล เนื้อที่ 47 ตารางกิโลเมตร บ้านแหลมไทรเป็นที่ตั้งของสถานีตำรวจชายฝั่งทะเล เนื้อที่ 10 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ระหว่างเกาะลันตากับเกาะไหงเป็นจุดจอดเรือใหญ่ก่อนเข้าร่องน้ำ
๐ หายนะของอันดามัน พังทั้งแถบ!
นายธีรพจน์ กษิรวัฒน์ กรรมการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จ.กระบี่ กล่าวว่า หากมีการขุดคลองไทยจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว จ.กระบี่ จ.ตรัง รวมถึงการท่องเที่ยวอันดามัน ซึ่งมีความเชื่อมโยงกัน เนื่องจากมีการขุดร่องน้ำบริเวณทางเข้าคลองไทย บริเวณเกาะลันตา เกาะไหง ตะกอนจากการขุดจะไหลตามน้ำไปถึงเกาะพีพี เกาะห้า เกาะหมา เกาะรอก และเกาะอื่นๆ นอกจากนั้น เมื่อมีการถมทะเลเพื่อรองรับอุตสาหกรรม โครงการคลองไทย จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง
“เราจะต้องสูญเสียทะเลที่สมบูรณ์ไป พื้นที่อุทยานแห่งชาติ 2 แห่งในบริเวณนี้ ได้แก่ อุทยานฯ หมู่เกาะลันตา กับอุทยานฯ หาดเจ้าไหม จะต้องถูกยุบ ต้นทุนของคลองไทยที่ไม่ได้นำมาคำนวณคือมูลค่าการท่องเที่ยว มูลค่าประมง ต้นทุนของทรัพยากรตลอดเส้นทางคลองไทย” นายธีรพจน์ กล่าว
นายธีรพจน์ กล่าวว่า ข้อมูลจากบริษัทจีน บอกว่า จะถมเกาะมุก เพื่อเป็นเกาะปิโตรเคมี จากเนื้อที่ในปัจจุบัน 7.688 ตารางกิโลเมตร จะนำดินจากการขุดคลองมาถมให้มีเนื้อที่ 92 ตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าปัจจุบันประมาณ 12 เท่า ใหญ่กว่าเกาะลันตาใหญ่ที่มีเนื้อที่ 78.270 ตารางกิโลเมตร นั่นคือเกาะมุกในอนาคต จะมีการถมทางเชื่อมเกาะมุกกับเกาะกระดาน ทำให้เกาะกระดานแปรสภาพเป็นส่วนหน้าของท่าเรือของเกาะมุก เกาะกระดานเป็นจุดจอดเรือบรรทุกผลิตภัณฑ์อันตราย
“การถมพื้นที่ขนาดใหญ่ในทะเลจะส่งผลกระทบต่อแนวปะการังและหญ้าทะเลในบริเวณนั้น ปะการังอ่อนที่เกาะเชือก เกาะม้า เกาะแหวนก็ไม่น่าจะรอด ป่าชายเลน หญ้าทะเล ปะการังก็ถูกทำลาย ชายหาดจะเปื้อนฝุ่นตลอดการก่อสร้างเป็นระยะเวลามากกว่า 6 ปี และจะต้องขุดลอกร่องน้ำทุกปี” นายธีรพจน์ กล่าว
โครงการคลองไทยและการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดยักษ์เป็นหายนะครั้งใหญ่ของประชาชนภาคใต้และสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม มีความเคลื่อนไหวผลักดันโครงการโดยใช้กลไกของสภาผู้แทนราษฎร นอกจากการจัดทำรายงานการศึกษา มีการผลักดันกฎหมาย แผนงานของรัฐบาล และบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับนักลงทุนชาวต่างชาติอีกด้วย