สุราษฎร์ธานี - ศรชล.เดินหน้ารื้อขนำหรูกลางทะเลอ่าวบ้านดอน ด้านกลุ่มผู้ประกอบการพลิกเกมสู้ ระดมเจ้าของขนำ 176 หลังเข้าแสดงตนเพื่อให้เจ้าที่ยุติการรื้อถอนและเป็นการรื้อยื้อเวลาไปต่อสู้ในชั้นศาลและหวังใช้สิทธิครอบครองพื้นที่ต่อไป
วันนี้ (1 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณี พล.ร.ท.สำเริง จันทร์โส ผู้บัญชาการทหารเรือภาค 2 ในฐานะ ผอ.ศรชล.ภาค 2 นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง นำเจ้าหน้าที่ ศรชล.ภาค 2 และ ศรชล.จังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมกำลังทหารเรือ หน่วยซีล ลงเรือของทหารเรือกองเรือยุทธการ เข้ารื้อถอนขนำหรู หรือบ้านพักกลางทะเล ที่กลุ่มผู้ประกอบการเลี้ยงหอยแครงบุกรุกเข้าปลูกสร้างในพื้นที่ชุ่มน้ำนานาชาติอ่าวบ้านดอน ที่เป็นพื้นสาธารณประโยชน์ประชาชนใช้ร่วมกันและเป็นพื้นที่ไม่อนุญาตให้มีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในเขต 3 ไมล์ทะเล หรือ 5.4 พันเมตร โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี และอำเภอพุนพิน ที่เป็นพื้นที่แหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อนและเป็นแหล่งเพาะขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำนานาชนิดพร้อมเป็นแหล่งกำเนิดของลูกพันธุ์หอยแครงที่เป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัดสุราษฎร์ธานี
หลังเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี และ สภ.พุนพิน พร้อมทั้งปิดหมายคำสั่งทางปกครองต่อขนำ จำนวน 176 หลัง และเลย 60 วันตามประกาศของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ขอให้ผู้ก่อสร้างขนำรื้อถอนเองจะไม่มีความผิด โดยที่ผ่านมามีผู้ประกอบการให้ความร่วมมือรื้อถอนไปจำนวน 69 ขนำ โดยแบ่งเป็นพื้นที่อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จำนวน 16 หลัง อำเภอพุนพิน 31 หลัง อำเภอกาญจนดิษฐ์ 11 หลัง และอำเภอท่าฉาง 11 หลัง ซึ่งในวันนี้ (1 ก.ย.) มีเป้าหมายรื้อขนำในพื้นที่อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จำนวน 5 หลังและหนึ่งใน 5 หลังมีขนำแดงหรูราคากว่า 3 ล้านบาทรวมอยู่
คณะ ศรชล.ได้เข้าเป้าหมายแรกเป็นขนำหลังแรกเป็นขนำหรูสีแดง ซึ่งมี นายสุรพล อินทรวารี หรือหมอก้อง ได้เข้าแสดงตนว่าขนำดังกล่าวตนเป็นผู้ครอบครองพร้อมระบุครอบพื้นที่ที่ดินในทะเลกว่า 200 ไร่ ทางเจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่าแจ้งข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.กรมเจ้าท่า หากทางผู้แสดงตนจะดำเนินการรื้อเองก็ให้โอกาส หากฝ่าฝืนคำสั่งทางปกครองที่ต่อสู้ หรือเข้าสู่กระบวนการทางยุติธรรม ทางเจ้าหน้าที่จะคิดค่าปรับเป็นรายวันต่อความกว้างยาวของขนำ ตารางเมตรละ 1,000-20,000 บาทต่อวัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่เข้ามาปลูกสิ่งก่อสร้างในทะเล ซึ่งนายสุรพล รับทราบและพร้อมเข้าต่อสู้ในกระบวนการชั้นศาล
ในส่วนหลังที่ 2 ทาง ผบ.ทร. และผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อม นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมงได้ประเดิมการรื้อถอน แต่การรื้อถอนไปได้ประมาณร้อยละ 30 ก็ต้องยุติ เมื่อมีนายรัตนชัย ใจงาม มาแสดงตน และหลังที่ 3 ก็มีนายสำรวย สาระทิพย์ ก็มาแสดงตนคัดค้านการรื้อถอนพร้อมขอเข้าต่อสู่ในกระบวนการยุติธรรมเช่นกัน โดยนายสำรวย บอกว่าตนได้สิทธิการครอบครองมาจำนวน 300 ไร่ เพื่อดำเนินการเลี้ยงหอยแครงส่วนตัวขนำก่อสร้างด้วยเงินกว่า 1 ล้านบาท โดยดำเนินการมา 1 ปีเศษๆ
สำหรับเป้าหมายที่จะเข้าดำเนินการรื้อถอนจำนวน 5 หลังในวันนี้ ทาง ศรชล. เข้าดำเนินการได้เพียง 3 หลัง ส่วนอีก 2 หลังเรือติดตื้นไม่สามารถเข้าไปในจุดบริเวณที่ตั้งของขนำได้จึงต้องเลื่อนมาปฏิบัติการต่อในวันพรุ่งนี้
ด้านนายรักษ์เพิ่ม เวชวัฒน์ รองนายก อบต.บางชนะ กล่าวว่า ขณะนี้ทางผู้ประกอบการในพื้นที่อำเภอเมืองและอำเภอพุนพิน พร้อมใจกันออกมาแสดงตนคัดค้านการรื้อขนำทุกหลังและขอเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ในขณะเดียวกัน ที่ห้องประชุมโรงแรมร้อยเกาะ นางอุรัตน์ ละอาด ตัวแทนเครือข่ายประมงพื้นบ้านจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายอภิชาติ ศิริสุนทร ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร เพื่อเรียกร้องขอให้เร่งรัดคืนพื้นที่สาธารณะนอกเขตอนุญาตเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุม ในพื้นที่ชุมน้ำนานาชาติอ่าวบ้านดอน มาเป็นพื้นที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดินที่ทุกคนมีสิทธิใช้ประโยชน์ร่วมกัน
นายสมชาย ฝั่งชลจิต รองประธานฯ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ศึกษาดูงานเกี่ยวกับด้านที่ดิน และร่วมประชุมรับฟังปัญหา ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีปัญหาการบุกรุกพื้นที่สาธารณะเพื่อทำประโยชน์ (คอกหอยแครง) ในพื้นที่อ่าวบ้านดอน เมื่อวานนี้แล้วไม่สบายใจเนื่องจากมีข้าราชการผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกว่าให้จัดการรื้อขนำไปก่อนและยกเว้นการดำเนินการที่เกี่ยวกับคอกหอย หรือขอให้หลับตาข้างหนึ่งในการแก้ไขปัญหาซึ่งตนเองและประธานกรรมาธิการได้ยินแล้วค่อนข้างไม่สบายใจ เนื่องจากเจ้าหน้าที่อาจโดนคดี 157 การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จึงขอให้กรมประมงดำเนินการจัดการในเรื่องของคอกหอยไปพร้อมกับการจัดการรื้อถอนขนำ