โดย...ศูนย์ข่าวภาคใต้

แทบจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เหตุโจรกรรมหนังสือบุดสมุดข่อยเมืองนครศรีธรรมราช สมบัติของชาติ จำนวนมหาศาล คงไม่พ้นเป็นฝีมือคนในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช เจ้าของสถานที่เก็บรักษา
ทั้งนี้ พล.ต.ต.สนธิชัย อาวัฒนกุลเทพ ผู้บังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช ที่ระบุว่า มีผู้ร่วมขบวนการมากกว่า 1 คน และย้ำว่า ผู้ก่อเหตุเป็นบุคลากรของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช และ นายสมปอง รักษาธรรม รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ที่เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่า เริ่มเห็นเค้าลางของบุคคลที่เกี่ยวข้องและข้อสังเกตที่ว่าเกลือเป็นหนอน เราเริ่มเห็นทั้งหมด ขณะนี้ ได้สอบพยานบุคคลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร ผู้ดูแล นักศึกษาที่เกี่ยวข้อง มีทิศทางเดียวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการทางกฎหมาย ซึ่งผลจะออกมาอย่างไรเราจะดำเนินการอย่างเฉียบขาด
ย้อนกลับไปดูที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช สถานที่เก็บรักษา “บุดเมืองคอน” พบว่า มีการเก็บรักษาหนังสือบุดไว้จำนวนหลายพันเล่ม นับเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นแหล่งเก็บหนังสือโบราณระดับโลก มหาวิทยาลัยราชภัฏได้ขอรับหนังสือบุดโบราณจากหลายแหล่ง ช่วงระหว่างปี 2513-2528 วัตถุประสงค์เพื่อนำไปศึกษา ทั้งจากวัดวาอารามต่างๆ ผู้ที่ครอบครองเป็นมรดกตกทอดจากสายตระกูลเก่าแก่ของเมืองนครศรีธรรมราช

บุดเมืองคอนเหล่านี้ประกอบไปด้วย พระอภิธรรม คัมภีร์พระมาลัย ตำราสีมากถา ตำราดูฤกษ์ยาม ตำรายา ตำราไทยสันตา ตำรายันต์ พระนิพานโสตร พระศรีธรรมาโศก วรรณกรรมประโลมโลก ซึ่งแต่ละฉบับนั้นมีอายุนับร้อยหรือหลายร้อยปี โดยเฉพาะ “ตำราสีมากถา” ที่พบเพียงเล่มเดียวครั้งแรกของภาคใต้ ซึ่งลักษณะการเขียนและการให้สีเป็นช่างฝีมือช่างภาคใต้แตกต่างกับฉบับของวัดสุทัศน์ และเป็นอีกหนึ่งชิ้นที่หายไปในครั้งนี้
น.ส.พรทิพย์ ไพนุพงศ์ ผู้อำนวยการหอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช บอกเล่าถึงความสำคัญของหนังสือบุดโบราณว่า ในทางวิชาการจะเรียกว่า เอกสารโบราณที่สำเร็จขึ้นมาด้วยการหัตถกรรม คือ การทำด้วยมือไม่ใช่การพิมพ์ หลักๆ จะประกอบไปด้วยศิลาจารึกสมุดไทย คัมภีร์ใบลาน สำหรับหนังสือบุดทางวิชาการจะเรียกว่าสมุดไทย มีทั้งตำรายาต่างๆ ตำราเวทมนต์ โหราศาสตร์ การดูดวง สรรพวิชาโบราณอยู่ในสมุดเหล่านี้
ซึ่งปัจจุบันมีคุณค่าที่ประเมินค่าเป็นตัวเงินไม่ได้
จากการบอกเล่าของ นายพงศธร ส้มแป้น อดีตนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ซึ่งเคยเข้าไปฝึกงานในศูนย์ดังกล่าวพร้อมกับนักศึกษากลุ่มหนึ่งเมื่อปี 2561 ระบุว่า กลุ่มนักศึกษาของเขาได้ทำทะเบียนหนังสือบุดฉบับสมบูรณ์ที่เก็บอยู่ในศูนย์ศิลปวัฒนธรรม พร้อมทั้งจัดหมวดหมู่ นับรวมได้ 2,275 เล่ม และยังมีอีกจำนวนมากกว่านี้ที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน ซึ่งมีทั้งอยู่ในสภาพสมบูรณ์ และในสภาพที่ชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลา
ด้าน นายธีรวัฒน์ ช่างสาน ผู้อำนวยการศูนย์ศิลปวัฒนธรรม ได้รายงานตัวเลขหนังสือบุดสูญหายไปทั้งหมด 309 เล่ม แบ่งจากตู้โชว์ใหญ่ 3 เล่ม ตู้โชว์นอกอีก 1 เล่ม และอยู่ในตู้จัดเก็บอีก 305 เล่ม ขณะที่เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ให้ข้อมูลว่า จำนวนหนังสือบุดโบราณประกอบด้วยกลุ่มหนังสือบุดโบราณที่ได้ถูกขึ้นทะเบียนไว้แล้วสูญหายไปทั้งหมด 309 เล่ม กลุ่มที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนไม่ทราบจำนวนที่สูญหายอย่างแท้จริง แต่คาดว่าอาจสูงถึงหลัก 500-1,000 พันเล่ม รวมมีหนังสือบุดโบราณหายประมาณ 1,300 เล่ม

หนังสือบุดโบราณหายไปจากศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช เมื่อใด และกี่ครั้งแล้ว ไม่มีใครทราบได้ กว่าจะรู้ว่ามีหนังสือบุดโบราณหายออกไปจำนวนมากก็เมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้ว เมื่อ “พระครูเหมเจติยาภิบาล” พระสงฆ์ผู้ศึกษารวบรวมข้อมูลหนังสือบุดสมุดข่อยของจังหวัดนครศรีธรรมราช เกิดไปเจอหนังสือบุดโบราณเล่มหนึ่งในตลาดออนไลน์ แล้วตามสืบต่อจากฐานข้อมูลเดิมที่เคยได้ถ่ายภาพหนังสือบุดโบราณไว้บางส่วน แล้วนำไปเปรียบเทียบกับที่มีการโพสต์ขายในกลุ่มเฟซบุ๊ก
หนึ่งในนั้นคือกลุ่ม “คนรักสมุดไทย” โพสต์ขายโดยผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Thitipong Jopop Siriwet ซึ่งต่อมา ตำรวจภูธรเมืองนครศรีธรรมราช ได้บุกเข้าจับตัว พบว่าชื่อ นายฐิติพงศ์ ศิริเวช ภายในบ้านยึดหนังสือบุดโบราณได้จำนวนหนึ่ง
กลุ่ม “คนรักสมุดไทย” ระบุไว้ในวัตถุประสงค์ของกลุ่มว่า เป็นกลุ่มของคนรักสมุดไทย อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับสมุดไทย ข่อย พับสา บับสา หรือเกี่ยวกับศิลปะไทย ไม่ต้อนรับผู้ที่จ้องเข้ามาโฆษณาขายสินค้านอกเหนือจากข้างต้น ซึ่งภายในกลุ่มดังกล่าวนอกจากจะมีการแชร์ การโพสต์ภาพสมุดไทย เพื่อเป็นการแบ่งปันร่วมกันชื่นชมแล้ว ยังมีการโพสต์ขายสมุดไทย ทั้งที่คัดลอกขึ้นมาใหม่ จัดทำได้ไม่นาน และของโบราณอายุนับร้อยปี เช่น
สมุดภาพสมัยอยุธยา สมุดข่อย พระไอยการ จุลศักราช 1005 พุทธศักราช 2186 สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง อยุธยา ตำราอภิธรรม ปี 2445 คัมภีร์ใบลานตัวธรรมอีสาน เรื่อง วงษามาลิณี 9 ผูก จุลศักราช 1257 พุทธศักราช 2438
ภายหลังจากพบว่ามีการโจรกรรมหนังสือบุดโบราณจำนวนมากออกไปจากศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช พระเถระชั้นผู้ใหญ่ใน จ.นครศรีธรรมราช ประกอบด้วย พระเทพวินยาภรณ์ รองเจ้าคณะภาค 16-17-18 พระราชปริยัติเวที เจ้าคณะจังหวัดฝ่ายมหานิกาย พระราชวิสุทธิกวี เจ้าคณะจังหวัดฝ่ายธรรมติ พระพุทธิสารเมธี เจ้าอาวาสวัดศรีทวี พระครูพรหมเขตคุณารักษ์ เจ้าอาวาสวัดวังตะวันตก พระครูเหมเจติยาภิบาล ได้ร่วมกันจัดตั้ง ศูนย์รับบิณบาตคืนหนังสือบุดสมุดข่อยจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมี นพ.บัญชา พงศ์พานิช เป็นผู้ประสานงาน ซึ่งการขอบิณฑบาตคืนจะไม่มีการสืบสวนเอาผิดใดๆ กับผู้ที่นำมาคืนแผ่นดิน

ไม่นานนักกลุ่ม “คนรักสมุดไทย”ก็มีประกาศปักหมุดออกมาประกาศให้สมาชิกรับทราบร่วมกันว่า เนื่องด้วยเวลานี้มีมิจฉาชีพ หรือเรียกสั้นๆ ว่า โจร ได้แฝงตัวเข้ามาในกลุ่ม และได้ทำการหลอกลวงและฉ้อโกงสมาชิกในกลุ่มในเรื่องของการซื้อขายสมุดไทย คณะผู้ดูแลได้ปรึกษากันแล้วว่า จะของดการซื้อขายต่างๆ ในเพจนี้เป็นการชั่วคราวก่อน เพื่อหามาตรการป้องกัน และต้องขออภัยสมาชิกในเรื่องของการโพสต์ ที่ต้องให้ผู้ดูแลอนุมัติก่อน เพื่อความเป็นระเบียบและเป็นการป้องกันการกระทำผิดกฎหมายต่างๆ เพราะหากมีการกระทำผิดกฎหมายบางอย่าง คณะผู้ดูแลอาจต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดด้วยเช่นกัน
นอกจากหนังสือบุดโบราณที่ถูกโจรกรรมไปจากศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช แล้วยังมีผู้ร้องเรียนเกี่ยวกับหนังสือโบราณที่หายไปจากวัดใน จ.พระนครศรีอยุธยา โดยผู้โพสต์ได้ลงภาพและอ้างว่า เป็น "ลานงาช้าง กรรมวาจาอักษรมอญ หน้าปกเขียนลายรดน้ำสมัยอยุธยาตอนปลาย" ของวัดทองบ่อ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ถ่ายภาพไว้เมื่อปี 2555 ซึ่งตอนนี้หายไปจากวัดได้ 2-3 ปีแล้ว
ผู้โพสต์ระบุด้วยว่า “เขาว่ามีนายพลมาขอยืม
ส่วนเรื่องจากนั้นจะมีการทวงคืนกันอย่างไร ก็ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ ก็อยากจะให้สังคมวงกว้างรับทราบว่า เมืองไทยยังมีสมบัติมีค่าและคนมีอำนาจยืมหลงหายไปอีกเยอะ”
อย่างไรก็ตาม หลังการเปิดศูนย์รับบิณฑบาต
คืนหนังสือบุดสมุดข่อยจังหวันครศรีธรรมราช
ก็มีผู้ที่ครอบครองหนังสือบุดเหล่านี้ได้ส่งคืนกลับมา โดยเมื่อกล่องพัสดุมาถึงมือพระครูเหมเจติยาภิบาล ก็ได้ทำลายชื่อและที่อยู่ผู้ส่งในทันที ตามที่ได้ประกาศออกไปแล้วว่า จะรับหนังสือบุดโบราณกลับคืนสู่แผ่นดินนครศรีธรรมราช โดยไม่มีการขยายผลหรือเอาผิดใดๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็หวังไว้ว่าผู้ที่ครอบครองหนังสือบุดโบราณ ที่ถูกโจรกรรมมาจากศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช จะนำมาคืนให้แก่แผ่นดินกันครบทุกเล่ม เพราะบางเล่มนั้นเรียกได้ว่า ประเมินค่ามิได้ มีเพียงเล่มเดียวเท่านั้นในโลก ควรค่าแก่การกลับมาให้ผู้คนได้รับชมโดยทั่วกัน และยังจะเป็นประโยชน์ต่อค้นคว้าและศึกษาต่อไป ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ ศาสตร์ความรู้ในบุด รวมทั้ง เรื่องราวทางพระพุทธศาสนาอีกด้วย
แทบจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เหตุโจรกรรมหนังสือบุดสมุดข่อยเมืองนครศรีธรรมราช สมบัติของชาติ จำนวนมหาศาล คงไม่พ้นเป็นฝีมือคนในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช เจ้าของสถานที่เก็บรักษา
ทั้งนี้ พล.ต.ต.สนธิชัย อาวัฒนกุลเทพ ผู้บังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช ที่ระบุว่า มีผู้ร่วมขบวนการมากกว่า 1 คน และย้ำว่า ผู้ก่อเหตุเป็นบุคลากรของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช และ นายสมปอง รักษาธรรม รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ที่เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่า เริ่มเห็นเค้าลางของบุคคลที่เกี่ยวข้องและข้อสังเกตที่ว่าเกลือเป็นหนอน เราเริ่มเห็นทั้งหมด ขณะนี้ ได้สอบพยานบุคคลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร ผู้ดูแล นักศึกษาที่เกี่ยวข้อง มีทิศทางเดียวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการทางกฎหมาย ซึ่งผลจะออกมาอย่างไรเราจะดำเนินการอย่างเฉียบขาด
ย้อนกลับไปดูที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช สถานที่เก็บรักษา “บุดเมืองคอน” พบว่า มีการเก็บรักษาหนังสือบุดไว้จำนวนหลายพันเล่ม นับเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นแหล่งเก็บหนังสือโบราณระดับโลก มหาวิทยาลัยราชภัฏได้ขอรับหนังสือบุดโบราณจากหลายแหล่ง ช่วงระหว่างปี 2513-2528 วัตถุประสงค์เพื่อนำไปศึกษา ทั้งจากวัดวาอารามต่างๆ ผู้ที่ครอบครองเป็นมรดกตกทอดจากสายตระกูลเก่าแก่ของเมืองนครศรีธรรมราช
บุดเมืองคอนเหล่านี้ประกอบไปด้วย พระอภิธรรม คัมภีร์พระมาลัย ตำราสีมากถา ตำราดูฤกษ์ยาม ตำรายา ตำราไทยสันตา ตำรายันต์ พระนิพานโสตร พระศรีธรรมาโศก วรรณกรรมประโลมโลก ซึ่งแต่ละฉบับนั้นมีอายุนับร้อยหรือหลายร้อยปี โดยเฉพาะ “ตำราสีมากถา” ที่พบเพียงเล่มเดียวครั้งแรกของภาคใต้ ซึ่งลักษณะการเขียนและการให้สีเป็นช่างฝีมือช่างภาคใต้แตกต่างกับฉบับของวัดสุทัศน์ และเป็นอีกหนึ่งชิ้นที่หายไปในครั้งนี้
น.ส.พรทิพย์ ไพนุพงศ์ ผู้อำนวยการหอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช บอกเล่าถึงความสำคัญของหนังสือบุดโบราณว่า ในทางวิชาการจะเรียกว่า เอกสารโบราณที่สำเร็จขึ้นมาด้วยการหัตถกรรม คือ การทำด้วยมือไม่ใช่การพิมพ์ หลักๆ จะประกอบไปด้วยศิลาจารึกสมุดไทย คัมภีร์ใบลาน สำหรับหนังสือบุดทางวิชาการจะเรียกว่าสมุดไทย มีทั้งตำรายาต่างๆ ตำราเวทมนต์ โหราศาสตร์ การดูดวง สรรพวิชาโบราณอยู่ในสมุดเหล่านี้
ซึ่งปัจจุบันมีคุณค่าที่ประเมินค่าเป็นตัวเงินไม่ได้
จากการบอกเล่าของ นายพงศธร ส้มแป้น อดีตนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ซึ่งเคยเข้าไปฝึกงานในศูนย์ดังกล่าวพร้อมกับนักศึกษากลุ่มหนึ่งเมื่อปี 2561 ระบุว่า กลุ่มนักศึกษาของเขาได้ทำทะเบียนหนังสือบุดฉบับสมบูรณ์ที่เก็บอยู่ในศูนย์ศิลปวัฒนธรรม พร้อมทั้งจัดหมวดหมู่ นับรวมได้ 2,275 เล่ม และยังมีอีกจำนวนมากกว่านี้ที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน ซึ่งมีทั้งอยู่ในสภาพสมบูรณ์ และในสภาพที่ชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลา
ด้าน นายธีรวัฒน์ ช่างสาน ผู้อำนวยการศูนย์ศิลปวัฒนธรรม ได้รายงานตัวเลขหนังสือบุดสูญหายไปทั้งหมด 309 เล่ม แบ่งจากตู้โชว์ใหญ่ 3 เล่ม ตู้โชว์นอกอีก 1 เล่ม และอยู่ในตู้จัดเก็บอีก 305 เล่ม ขณะที่เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ให้ข้อมูลว่า จำนวนหนังสือบุดโบราณประกอบด้วยกลุ่มหนังสือบุดโบราณที่ได้ถูกขึ้นทะเบียนไว้แล้วสูญหายไปทั้งหมด 309 เล่ม กลุ่มที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนไม่ทราบจำนวนที่สูญหายอย่างแท้จริง แต่คาดว่าอาจสูงถึงหลัก 500-1,000 พันเล่ม รวมมีหนังสือบุดโบราณหายประมาณ 1,300 เล่ม
หนังสือบุดโบราณหายไปจากศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช เมื่อใด และกี่ครั้งแล้ว ไม่มีใครทราบได้ กว่าจะรู้ว่ามีหนังสือบุดโบราณหายออกไปจำนวนมากก็เมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้ว เมื่อ “พระครูเหมเจติยาภิบาล” พระสงฆ์ผู้ศึกษารวบรวมข้อมูลหนังสือบุดสมุดข่อยของจังหวัดนครศรีธรรมราช เกิดไปเจอหนังสือบุดโบราณเล่มหนึ่งในตลาดออนไลน์ แล้วตามสืบต่อจากฐานข้อมูลเดิมที่เคยได้ถ่ายภาพหนังสือบุดโบราณไว้บางส่วน แล้วนำไปเปรียบเทียบกับที่มีการโพสต์ขายในกลุ่มเฟซบุ๊ก
หนึ่งในนั้นคือกลุ่ม “คนรักสมุดไทย” โพสต์ขายโดยผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Thitipong Jopop Siriwet ซึ่งต่อมา ตำรวจภูธรเมืองนครศรีธรรมราช ได้บุกเข้าจับตัว พบว่าชื่อ นายฐิติพงศ์ ศิริเวช ภายในบ้านยึดหนังสือบุดโบราณได้จำนวนหนึ่ง
กลุ่ม “คนรักสมุดไทย” ระบุไว้ในวัตถุประสงค์ของกลุ่มว่า เป็นกลุ่มของคนรักสมุดไทย อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับสมุดไทย ข่อย พับสา บับสา หรือเกี่ยวกับศิลปะไทย ไม่ต้อนรับผู้ที่จ้องเข้ามาโฆษณาขายสินค้านอกเหนือจากข้างต้น ซึ่งภายในกลุ่มดังกล่าวนอกจากจะมีการแชร์ การโพสต์ภาพสมุดไทย เพื่อเป็นการแบ่งปันร่วมกันชื่นชมแล้ว ยังมีการโพสต์ขายสมุดไทย ทั้งที่คัดลอกขึ้นมาใหม่ จัดทำได้ไม่นาน และของโบราณอายุนับร้อยปี เช่น
สมุดภาพสมัยอยุธยา สมุดข่อย พระไอยการ จุลศักราช 1005 พุทธศักราช 2186 สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง อยุธยา ตำราอภิธรรม ปี 2445 คัมภีร์ใบลานตัวธรรมอีสาน เรื่อง วงษามาลิณี 9 ผูก จุลศักราช 1257 พุทธศักราช 2438
ภายหลังจากพบว่ามีการโจรกรรมหนังสือบุดโบราณจำนวนมากออกไปจากศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช พระเถระชั้นผู้ใหญ่ใน จ.นครศรีธรรมราช ประกอบด้วย พระเทพวินยาภรณ์ รองเจ้าคณะภาค 16-17-18 พระราชปริยัติเวที เจ้าคณะจังหวัดฝ่ายมหานิกาย พระราชวิสุทธิกวี เจ้าคณะจังหวัดฝ่ายธรรมติ พระพุทธิสารเมธี เจ้าอาวาสวัดศรีทวี พระครูพรหมเขตคุณารักษ์ เจ้าอาวาสวัดวังตะวันตก พระครูเหมเจติยาภิบาล ได้ร่วมกันจัดตั้ง ศูนย์รับบิณบาตคืนหนังสือบุดสมุดข่อยจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมี นพ.บัญชา พงศ์พานิช เป็นผู้ประสานงาน ซึ่งการขอบิณฑบาตคืนจะไม่มีการสืบสวนเอาผิดใดๆ กับผู้ที่นำมาคืนแผ่นดิน
ไม่นานนักกลุ่ม “คนรักสมุดไทย”ก็มีประกาศปักหมุดออกมาประกาศให้สมาชิกรับทราบร่วมกันว่า เนื่องด้วยเวลานี้มีมิจฉาชีพ หรือเรียกสั้นๆ ว่า โจร ได้แฝงตัวเข้ามาในกลุ่ม และได้ทำการหลอกลวงและฉ้อโกงสมาชิกในกลุ่มในเรื่องของการซื้อขายสมุดไทย คณะผู้ดูแลได้ปรึกษากันแล้วว่า จะของดการซื้อขายต่างๆ ในเพจนี้เป็นการชั่วคราวก่อน เพื่อหามาตรการป้องกัน และต้องขออภัยสมาชิกในเรื่องของการโพสต์ ที่ต้องให้ผู้ดูแลอนุมัติก่อน เพื่อความเป็นระเบียบและเป็นการป้องกันการกระทำผิดกฎหมายต่างๆ เพราะหากมีการกระทำผิดกฎหมายบางอย่าง คณะผู้ดูแลอาจต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดด้วยเช่นกัน
นอกจากหนังสือบุดโบราณที่ถูกโจรกรรมไปจากศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช แล้วยังมีผู้ร้องเรียนเกี่ยวกับหนังสือโบราณที่หายไปจากวัดใน จ.พระนครศรีอยุธยา โดยผู้โพสต์ได้ลงภาพและอ้างว่า เป็น "ลานงาช้าง กรรมวาจาอักษรมอญ หน้าปกเขียนลายรดน้ำสมัยอยุธยาตอนปลาย" ของวัดทองบ่อ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ถ่ายภาพไว้เมื่อปี 2555 ซึ่งตอนนี้หายไปจากวัดได้ 2-3 ปีแล้ว
ผู้โพสต์ระบุด้วยว่า “เขาว่ามีนายพลมาขอยืม
ส่วนเรื่องจากนั้นจะมีการทวงคืนกันอย่างไร ก็ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ ก็อยากจะให้สังคมวงกว้างรับทราบว่า เมืองไทยยังมีสมบัติมีค่าและคนมีอำนาจยืมหลงหายไปอีกเยอะ”
อย่างไรก็ตาม หลังการเปิดศูนย์รับบิณฑบาต
คืนหนังสือบุดสมุดข่อยจังหวันครศรีธรรมราช
ก็มีผู้ที่ครอบครองหนังสือบุดเหล่านี้ได้ส่งคืนกลับมา โดยเมื่อกล่องพัสดุมาถึงมือพระครูเหมเจติยาภิบาล ก็ได้ทำลายชื่อและที่อยู่ผู้ส่งในทันที ตามที่ได้ประกาศออกไปแล้วว่า จะรับหนังสือบุดโบราณกลับคืนสู่แผ่นดินนครศรีธรรมราช โดยไม่มีการขยายผลหรือเอาผิดใดๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็หวังไว้ว่าผู้ที่ครอบครองหนังสือบุดโบราณ ที่ถูกโจรกรรมมาจากศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช จะนำมาคืนให้แก่แผ่นดินกันครบทุกเล่ม เพราะบางเล่มนั้นเรียกได้ว่า ประเมินค่ามิได้ มีเพียงเล่มเดียวเท่านั้นในโลก ควรค่าแก่การกลับมาให้ผู้คนได้รับชมโดยทั่วกัน และยังจะเป็นประโยชน์ต่อค้นคว้าและศึกษาต่อไป ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ ศาสตร์ความรู้ในบุด รวมทั้ง เรื่องราวทางพระพุทธศาสนาอีกด้วย