xs
xsm
sm
md
lg

ไขเบื้องลึก 3 ข้อเรียกร้อง “มาราปาตานี” และจับตาวินาศกรรมก่อนและหลัง “วันชาติปัตตานี”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ / โดย… ไชยยงค์ มณีพิลึก



ห่างหายไปจากสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปเสียนาน หลังจากที่ “เสธ.เมา” พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ได้ทำหน้าที่หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขคนก่อน ปฏิเสธที่จะพูดคุยกับ กลุ่มมาราปาตานี องค์กรร่วมของ 6 กลุ่มในขบวนการแบ่งแยกดินแดนภาคใต้ของไทย เพราะไม่เชื่อว่าเป็น “ของจริง” ที่มีอำนาจตัดสินใจบนโต๊ะพูดคุยได้ อีกทั้งการเมืองที่ผกผันของมาเลเซียทำให้มีการเปลี่ยนจากรัฐบาลนายนาจิบ ราซัก ไปเป็นรัฐบาล ดร.มหาเธร์ มูหะหมัด ยิ่งทำให้บทบาทของกลุ่มตัวแทนขบวนการกลุ่มถูกลดทอนจนไม่มีความหมายในที่สุด

และเมื่อ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ตัดสินใจเปลี่ยนตัวหัวหน้าคณะพูดคุยอีกครั้งมาเป็น พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) พร้อมๆ กับรัฐบาลมาเลเซียก็ได้เปลี่ยนผู้ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกคนใหม่คือ ตัน สรี อับดุล ราฮิม บิน โมห์ด นูร์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลมาเลเซีย ซึ่งสามารถทำให้ ขบวนการบีอาร์เอ็น ยอมส่ง 6 แกนนำที่เป็น “ของจริง” ได้ทำหน้าที่พูดคุยแทนกลุ่มมาราปาตานี จึงเท่ากับว่ามีการ “ตอกฝาโลง” ปิดบทบาทของกลุ่มมาราปาตานีลงสู่หลุมศพอย่างแท้จริง

ดังนั้น เมื่อจู่ๆ กลุ่มมาราปาตานีร่อนสารผ่านช่องทางไลน์ถึงบางสำนักสื่อสารมวลชนเสนอข้อเรียกร้อง 3 ข้อในการขับเคลื่อน “เวทีพูดคุยสันติสุข” ที่จะมีขึ้นในอนาคต จึงกลายเป็น “ข้อกังขา” กับผู้คนทั้งในและนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อีกทั้งควรต้องรวมถึงประชาคมโลกด้วยเช่นกันว่า การ “ดันฝาโลง” ออกมาปรากฏตัวอีกครั้งของกลุ่มมาราปาตานีมี “วาระซ่อนเร้น” อะไร และมี “ใคร” อยู่เบื้องหลัง

สำหรับ 3 ข้อเรียกร้องที่อยู่ภายใต้การจัดการปกครองพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในรูปแบบ “ออโตโนมี” ซึ่งหมายถึง “การปกครองตนเอง” หากไม่เป็นผลจะต่อสู้อย่างสุดกำลังของกลุ่มมาราปาตานี ประกอบด้วย 1) ให้มีผู้ว่าราชการมีอำนาจเท่าเทียมกับประมุขของรัฐ เป็นผู้มีอำนาจครอบคลุมจังหวัดชายแดนภาคใต้ในรูปของออโตโนมี 2) ให้มีการยอมรับศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่เป็นทางการของจังหวัดชายแดนภาคใต้ และต้องมีระบุในรัฐธรรมนูญของไทย และ 3) ให้ภาษามลายูเป็นภาษาอันดับสองเฉพาะในจังหวัดชายแดนใต้ และให้อำนาจสำนักงานคณะกรรมการอิสลามเป็นสถาบันเฉพาะที่บริหารจัดการดูแล มีอำนาจตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลามให้แก่อิสลามิกชน

ก่อนอื่นขอบอกว่าในวันที่ 1 สิงหาคม 2563 ที่จะถึงนี้ถือเป็นวาระครบรอบ “วันชาติปัตตานี” ที่สถาปนาโดยขบวนการบีอาร์เอ็น และก่อนที่ “ผีดิบ” อย่างกลุ่มมาราปาตานีจะยื่นมือออกจากโลงมาส่งสาร 3 ข้อดังกล่าวนั้น พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ หัวหน้าคณะพูดคุยคนปัจจุบันกำลัง “สัญจร” อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการพบปะกับกลุ่มมวลชนต่างๆ เช่น ผู้นำศาสนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อการเดินหน้ากระบวนการพูดคุยกับบีอาร์เอ็นต่อไปหลังจากที่ปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 เบาบางลง

ถ้าติดตามสถานการณ์ที่ผ่านมาจะพบว่า วาระครบรอบวันชาติปัตตานีจะเป็น “วันสัญลักษณ์” สำคัญที่บีอาร์เอ็นจะต้องลงมือก่อเหตุร้ายเพื่อเป็นการ “ตอกย้ำ” กับมวลชนว่าอย่าลืม ซึ่งในปีนี้ก็เช่นกันในห้วงก่อนและหลังวันชาติปัตตานี บีอาร์เอ็นอาจจะส่ง “แนวร่วม” หรือ “โจรใต้” ไปก่อเหตุวินาศกรรมในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรืออาจจะในจังหวัดอื่นๆ ของภาคใต้ตอนบน หรือรวมทั้งที่กรุงเทพฯ ด้วยก็ได้

เรื่องนี้ก็ต้องจับตาว่าจะมีการฉกฉวยโอกาสในสถานการณ์ที่การเมืองในประเทศกำลังร้อนระอุด้วยหรือไม่ เนื่องจากเวลานี้ก็มีการออกมาจัดชุมนุมขับไล่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ของนักเรียน นักศึกษา ผู้ใช้แรงงานและประชาชนทั่วไปอยู่ด้วย และเป็นไปได้ว่าหลังก่อเหตุบีอาร์เอ็นจะไม่ออกมารับผิดชอบใดๆ โดยใช้สถานการณ์ความแตกแยกทางสังคมที่เกิดขึ้นสร้าง “ความคลุมเครือ” ต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่บีอาร์เอ็นปฏิบัติมาโดยตลอด

ถ้าดูจาก “กระดาษข่าว” ของหน่วยข่าวความมั่นคง (บางกลุ่ม) ที่เกาะติดแกนนำบีอาร์เอ็นทั้งในรัฐกลันตันของมาเลเซีย และในพื้นที่ 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย นั่นก็จะพบว่าเวลานี้พยายามที่จะล็อกตัวกลุ่มที่จะลงมือก่อวินาศกรรมไว้แล้ว ทั้งนี้ เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้มีโอกาสได้ลงมือปฏิบัติการ

ดังนั้น การออกร่อนสารแสดงตัวตนว่า “ยังไม่ตาย” ของกลุ่มมาราปาตานีในคาบนี้ จึงเป็นการแอบอ้างปฏิบัติการของบีอาร์เอ็น เพื่อหวัง “ตีกิน” โดยถ้ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นจริง ผู้คนจะได้เข้าใจว่าเป็นฝีมือของกลุ่มมาราปาตานี ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงเป็นเพียงการรวมกลุ่มของผู้แทนจากขบวนการแบ่งแยกดินที่ล้วนต่างมีสภาพเป็น “รถเปล่า” ไปแล้วในเวลานี้

รวมทั้งเป็นการฉกฉวยแสดงตัวตนอีกครั้งเพื่อให้ “ยึดโยง” กับการเคลื่อนไหวของ พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ หัวหน้าคณะพูดคุยที่กำลังสัญจรอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และว่ากันว่ากำลังมีการเปิดประเด็น “หารือนอกรอบ” กับตัวแทนของบีอาร์เอ็นของจริงอีกครั้งหลังจากที่หยุดไปนานด้วย

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การตื่นจากหลุมของผีดิบอย่างกลุ่มมาราปาตานีก็ต้องมี “คนหนุน” หรือมีการ “ชักใย” อยู่เบื้องหลังเพื่อสร้างความสับสนให้เกิดขึ้นเป็นแน่ ซึ่งประเมินว่ากลุ่มที่มีศักยภาพทำได้น่าจะเป็นทั้ง “กลุ่มอำนาจเก่าในมาเลเซีย” ซึ่งเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์การเมืองฝั่งเสือเหลืองก็จะพบว่า นายนาจิบ ราชซัก ที่เคยถูก ดร.มหาเธร์ มูหะหมัด โค่นลมไปนั่น เวลานี้กำลังจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่แล้ว และกลุ่มมาราปาตานีก็คือผลผลิตสมัยรัฐบาลนายนาจิบ ราซัก นั่นเอง

นอกจากนี้ ยังว่ากันว่า “บีอาร์เอ็นเองแหละ” อาจจะเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังในการชุบชีวิตให้แก่กลุ่มมาราปาตานีฟื้นคืนชีพก็เป็นไปได้ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดความสับสนและทำลายความน่าเชื่อถือของคณะพูดคุยฝ่ายรัฐไทย เพราะคาดเดาว่าเมื่อผลสรุปของการพูดคุยผ่านรอบหน้าไปแล้ว รัฐไทยก็จะยังคงใช้ท่าทีแบบเดิมๆ คือให้คำตอบอะไรไม่ได้ ซึ่งก็เป็นแบบนี้มาแล้วหลายรัฐบาลที่ผ่านๆ มา ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะฝ่ายไทยเองก็มักไม่มั่นใจว่ากลุ่มคนที่ไปพูดคุยสันติสุขด้วยนั้นมีอำนาจในการตอบ “เยส” หรือ “โน” ได้จริงหรือไม่

ไม่เพียงเท่านั้นอาจจะยังมี “มือที่มองไม่เห็น” ใช้กลุ่มมาราปาตานีสร้างความสับสนให้เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดเป็น “ความขัดแย้ง” อีกครั้ง เพราะเป็นที่รู้ดีกันว่าบีอาร์เอ็นต้องการ “เมอร์เดกา” หรือ “เอกราช” เท่านั้น ในขณะที่กลุ่มมาราปาตานีกลับเสนอแนวทางแค่ “เขตปกครองพิเศษ” หรือ “ออโตโนมี” ซึ่งก็ดูได้จาก 3 ข้อเรียกร้องที่เพิ่งออกมาเคลื่อนไหวดังกล่าว

ล่าสุด อาบูฮาฟิส อัลฮากิม โฆษกของกลุ่มมาราปาตานีได้ออกมาปฏิเสธแล้วว่า กรณีการส่งสารเรียกร้อง 3 ข้อต่อคณะพูดคุยฝ่ายรัฐไทยเป็น “ของปลอม” พร้อมระบุว่าตั้งแต่ภาษาที่ใช้ก็ไม่ใช่ และเชื่อว่าการนำเสนอข่าวนี้มีวาระที่ซ่อนเร้น นั่นคือการเคลื่อนไหวล่าสุดของกลุ่มมาราปาตานีที่เกิดขึ้น

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ความสับสนอลหม่านที่มาจากการตายแล้วฟื้นคืนของกลุ่มมาราปาตานีครั้งนี้ ผู้ที่ถูกมองด้วยความไม่น่าเชื่อถือไปแล้วคือ คณะพูดคุยสันติสุขฝ่ายรัฐไทย เพราะคำถามหนึ่งที่ผู้อยู่ในแวดวงที่ พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ ลงไปพบปะในพื้นที่ได้ถามหัวหน้าคณะพูดคุยคือ กลุ่มคนที่ไปคุยเป็น “ตัวจริง” หรือไม่

นั่นแสดงว่าที่ผ่านมาที่มีการเปลี่ยนหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขฝ่ายรัฐไทยไปแล้วถึง “3 นายพล” คนในพื้นที่ยังไม่เชื่อถือว่าเป็นการไปคุยกับ “ของจริง” และยังตั้งข้อสงสัยว่าการพูดคุยตั้งแต่สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนถึงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ล้วนแล้วแต่เป็นเพียง “ปาหี่” ที่มีผลาญงบประมาณแบบไม่คุ้มค่าเท่านั้น

ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงคนในพื้นที่เองย่อมต้องรู้เรื่องราวได้ดีกว่าหัวหน้าคณะพูดคุยเสียอีกว่า คนที่เป็นตัวแทนของขบวนการเป็น “ตัวจริง” หรือ “ตัวปลอม” เพราะโดยข้อเท็จจริงคนในกลุ่มมาราปาตานีทั้งหมดก็เป็น “ตัวจริง” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนแต่ละกลุ่มที่ผ่านๆ มา และในกลุ่มมาราปาตานีเองหัวหน้าคณะพูดคุยอย่าง อุสตาส สุกรี ฮารี ก็เป็นคนของบีอาร์เอ็นตัวจริง เป็น 1 ใน 7 คนที่เป็นขบถแบ่งแยกดินแดนที่เกี่ยวพันกับเหตุการณ์ “ปล้นปืนค่ายปิเหล็ง” เมื่อต้นปี 2547 ที่หลบหนีการประกันตัวจากปัตตานีไปอยู่ที่มาเลเซียจนถึงปัจจุบัน

และอีก 6 คนที่ไปจากบีอาร์เอ็นได้ร่วมเป็นคณะพูดคุยล่าสุดที่มี อุสตาส หิพนี มะเระ เป็นหัวหน้า นั่นก็เป็นของจริง แต่ด้วย “กุศโลบาย” ของบีอาร์เอ็นที่ใช้มาโดยตลอดคือ เมื่อคนเหล่านี้เข้าสู่โต๊ะเจรจาแล้ว ทุกคนจะถูก “ปลดออกจากตำแหน่งในขบวนการ” จึงกลายเป็นของจริงที่ไม่มีอำนาจในการที่ตัดสินใจที่จะตอบว่า “เยส” หรือ “โน” บนโต๊ะเจรจา เพราะบีอาร์เอ็นต้องการใช้กระบวนการเจรจาเพื่อไปสู่เป้าหมายอื่นที่ไม่ใช่การ “ยุติความรุนแรง” ที่เกิดขึ้นนั่นเอง

ยิ่งในวันนี้ที่ขบวนการบีอาร์เอ็นมีสถานะที่แผกต่างไปจากเดิม คือรัฐบาลมาเลเซียควบคุมและกำกับได้ยากขึ้น เนื่องจากมีเครือข่ายองค์กรต่างชาติอย่าง “เจนีวาคอลล์” ที่แนบแน่นอยู่กับ องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เป็นผู้คอยกำกับและสั่งการอยู่เบื้องหลัง

เวลานี้แม้แต่รัฐบาลมาเลเซียก็ยังอึดอัดกับบทบาทของ “เจนีวาคอลล์” ในขณะที่แกนนำในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็มี คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ไอซีอาร์ซี) และ องค์การแพทย์ไร้พรมแดน เป็น “พี่เลี้ยง” ในฐานะผู้กำกับการแสดง

ดังนั้น ความสับสนที่เกิดขึ้นจาก “ผีดิบ” อย่างกลุ่มมาราปาตานีจึงเป็นเพียง “ละครฉากหนึ่ง” ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับ “วันชาติปัตตานี” และความเคลื่อนไหวของ พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ ที่สัญจรมาอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้พอดีนั่นเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น