ปัตตานี - กลุ่มนักศึกษา ม.อ.ปัตตานี รวมตัวชุมนุมขับไล่นายกรัฐมนตรี โดยไม่สนประกาศของอธิการบดีที่สั่งห้ามชุมนุม ยืนยันเป็นการชุมนุมโดยเสรีภาพ พร้อมข้อเรียกร้อง 3 ข้อ
วันนี้ (23 ก.ค.) ที่อาคารกิจการนักศึกษา บรรดานิสิตนักศึกษา ม.อ.ปัตตานี โดยสโมสรนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และคณะอื่นๆ ได้รวมตัวจัดกิจกรรมแสดงออกทางการเมือง ตั้งชื่อ หมุดหมายประชาธิปไตยร่วมเเฟลชม็อบไล่เผด็จการไปด้วยกัน ซึ่งได้โพสต์เชิญชวนผ่านเฟซบุ๊ก ให้นักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชนร่วมกันแสดงจุดยืนและเจตนารมณ์ถึงอำนาจประชาชนโดยพร้อมเพรียง ชุมนุมโดยสงบตามกฎหมาย ซึ่งมีผู้ร่วมเข้าชุมนุมประมาณ 500 คน ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยคุมเข้มรักษาความปลอดภัย
ทั้งนี้ เมื่อเช้านี้ ผศ.ดร.นิวัติ แก้วประดับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ออกประกาศมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เรื่อง การใช้พื้นที่ภายใน 5 วิทยาเขตของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ใจความว่า ตามที่รัฐบาลออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทางมหาวิทยาลัยจึงประกาศควบคุมการใช้พื้นที่ภายใน 5 วิทยาเขตของมหาวิทยาลัยแล้ว
แต่นักศึกษายืนยันเดินหน้าจัดกิจกรรมต่อไป ไม่ยอมรับคำประกาศของอธิการบดี เพราะถือว่าเป็นการแสดงออกทางการเมือง ทุกคนมีสิทธิมีเสียงเท่าเทียมกัน ทุกคนทำตามหน้าที่พลเมือง ถ้ายังห้ามนักศึกษา และปิดกั้น ทุกคนจะล่ารายชื่อขอพิจารณาไล่อธิการบดีออกจากตำแหน่ง นอกจากนี้ ยังซ้ำเติมการบริหารของคณะบริหาร ไม่มีความพร้อมในการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ และประเด็นสุดท้ายให้รัฐทบทวนเริ่มใหม่โครงการอุตสาหกรรมจะนะ จ.สงขลา เพราะจะเป็นชนวนความขัดแย้งรอบใหม่
ในเนื้อหาการแสดงออกครั้งนี้ มีการอภิปรายโจมตีรัฐบาลให้หยุดคุกคามประชาชน แสดงเจตนารมณ์ให้รัฐบาลยุบสภา และประกาศให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตัวแทนนักศึกษาจากหลายๆ กลุ่มได้ผลัดกันอภิปรายแสดงความเห็นอย่างเต็มที่ สลับกับร้องเพลง อ่านบทกวี พร้อมยืนยันเป็นการแสดงออกทางเสรีภาพประชาธิปไตย ไม่ได้มาภายใต้การกำกับของฝ่ายใด บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีการถือป้ายและโห่ร้องขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ลาออกและคืนอำนาจให้ประชาชน
การชุมนุมดังกล่าวเกิดขึ้นหลังกลุ่มสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) และกลุ่มเยาวชนปลดแอก ได้จัดกิจกรรมชุมนุม เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา และสอดรับกับกลุ่มอื่นๆ ในต่างจังหวัด เช่น ชลบุรีและเชียงใหม่ ด้วยข้อเรียกร้อง 3 ข้อเช่นกันคือ หยุดคุกคามคนเห็นต่าง ยุบสภา และแก้รัฐธรรมนูญ
นายฟาห์เรนน์ นิยมเดชา นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ม.อ.ปัตตานี แกนนำนักศึกษาในการชุมนุมครั้งนี้บอกถึง 3 ประเด็นหลักของการแสดงพลังคือ ขอไล่อธิการบดีออกจากตำแหน่ง ปัญหาการเรียนออนไลน์ของนักศึกษา และนับหนึ่งการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมจะนะ
เราอยากให้คนรุ่นใหม่ใน ม.อ.ปัตตานีออกมาสนับสนุนประชาธิปไตย แต่เมื่อเห็นประกาศของอธิการเมื่อคืนทำให้เปลี่ยนความคิด เพราะอธิการบดีไม่เคารพสิทธิเสรีภาพในความคิดเห็น ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล สำคัญคือละเมิดหลักวิชาการในการแสดงออกและวิพากษ์อย่างเสรี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ควรมีในรั้วมหาวิทยาลัย
ดังนั้น ประเด็นหลักที่แสดงออกของนักศึกษา ม.อ.ปัตตานี จึงเป็นการไล่อธิการบดีออกจากตำแหน่งโดยทันที หรืออธิการบดีต้องออกมาตอบว่าที่ทำไปไม่มีเจตนาที่จะบดบังความคิดนักศึกษา หากเป็นอื่นเตรียมจะยกขบวนนักศึกษาไปไล่ถึงวิทยาเขตหาดใหญ่
ประเด็นที่ 2 คือปัญหาการเรียนออนไลน์ไม่มีคุณภาพ นักศึกษามีอุปกรณ์ไม่พร้อมอินเทอร์เน็ต และพื้นที่ไม่พร้อม ซึ่งอธิการบดีรับรู้และหาทางแก้ไขบ้างหรือไม่ แต่เวลาประกาศห้ามนักศึกษาชุมนุมก็ประกาศเลย อธิการบดียืนอยู่ข้างประชาธิปไตยแบบไหน ทั้งที่ปี 2557 มหาวิทยาลัยประกาศสนับสนุนการใช้สิทธิเสรีภาพโดยไม่คิดเป็นการขาดเรียนหรือขาดงาน
แต่การประชุมวันนี้กลับห้ามว่าอยู่ในสถานการณ์โควิด-19 ไปดูที่โรงอาหารลานอิฐนั่งกันเป็นพันคน นักศึกษาจะมาแสดงจุดยืนสัก 200-300 คน บอกจะติดโควิด-19 แต่ไม่บอกถึงคนมาจากต่างประเทศที่เป็นแขกวีไอพีบ้างที่นำโควิด-19 เข้ามาในไทย"
ประเด็นสำคัญอีกอย่างคือ ยกเลิกมติ ครม.การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมจะนะ จ.สงขลาให้รัฐบาลนับหนึ่งใหม่กับการศึกษาโครงการ ผลกระทบ ผลได้ผลเสียต่อชาวบ้านในพื้นที่ ให้แสดงความคิดเห็นอย่างเสรี โดยรัฐไม่เลือกสนับสนุนผู้เห็นด้วยและกีดกันผู้เห็นต่าง หากรัฐจะเปลี่ยนแปลงจะนะ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส เปลี่ยนไปเช่นกัน คนที่นี่ต้องตัดสิน รัฐมีตัวอย่างจากมาบตาพุดมาแล้วควรนำมาเทียบดูว่าคุ้มหรือไม่
“ขอเสนอให้ ศอ.บต.ว่าหากจะเดินต่อขอให้นับหนึ่งใหม่ในทุกด้าน ถ้าคนส่วนใหญ่เห็นด้วยเราเคารพ ถ้าไม่เห็นด้วย รัฐอย่าดันทุรังทำ เป็นการเพิ่มวาระความขัดแย้งชิ้นใหม่ในชายแดนใต้ เราจะเจอสันติภาพได้อย่างไร ศอ.บต.มีวาระสำคัญคือผลักดันสันติภาพในพื้นที่ ผลักดันสันติสุขให้ประชาชน แต่จะนะกำลังเป็นหายนะชิ้นใหม่ที่ยัดเยียดให้คนในพื้นที่” นายฟาห์เรนน์ กล่าว